หน้าเว็บ

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บัตรประชาชน หมดสต๊อค

อ่านเจอบทความของใครก็ไม่รู้ในโอเคเนชั่น จำไม่ได้แล้ว ขออำภัยนะครับ
ว่าวัสดุสำหรับทำบัตรประชาชนหมดทั่วไทย ก็เลยไปพิสูจน์ทราบมาด้วยตัวเอง
ปรากฏว่าตอนนี้ ที่อำเภอบ้านนอกๆ ยังพอได้อยู่ครับ
แต่ถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ จะหมดจริงๆ และจะได้ใบเหลืองไปแทน
บัตรประชาชน ทำที่อำเภอไหนก็ได้ครับ
ไม่จำเป็นต้องทำ ณ อำเภอที่ตัวเองอยู่เท่านั้น เค้าทันสมัยออนไลน์กันแล้ว

แต่คราวนี้ โกได้ประสบการณ์ใหม่จากการทำบัตรประชาชน
โกได้บัตรแบบที่มีซิมติดมาด้วย เอาไว้ทำอะไรก็ไม่รู้
บัตรแบบนี้จะมีชื่อและนามสกุลภาษาอังกฤษแถมมาให้ด้วย
วันเดือนปีเกิด ก็มีทั้งไทยและเทศ ถือว่าเป็นสากลดี จ่ายไป 30 บาท
แต่...
คุณท่านไม่ได้ถามเราซักคำว่า ชื่อนามสกุลของเราเขียนยังไง
ยัดเยียดมาให้ซะยังงั้น โกก็ประท้วง ณ ที่เกิดเหตุว่าสะกดนามสกุลผมผิด
เจ้าหน้าที่มองหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง แบบว่าคุณรู้ภาษาปะกิตเหรอ
มันจะผิดได้ยังไง อะไรทำนองนั้น
โกก็เลยบอกว่า มันสะกดไม่เหมือนในพาสปอร์ต เพื่อลดปัญหาไม่ต้องพูดมาก
คุณ จนท. ดันพูดว่า น่าจะเอาพาสปอร์ตมาด้วย แม้.. หาเรื่อง
โกเลยบอกว่า ผมจะเอามาทำไมล่ะครับ ผมก็สะกดนามสกุลตัวเองเป็น

พอจะขอทำใหม่ จนท.บอกว่า ทำวันนี้ไม่ได้ ต้องกลับมาทำพรุ่งนี้
อาจจะเป็นเรื่องทางเทคนิค โกก็ไม่อยากต่อความยาว
อยากจะถามเขาว่า ถ้าเป็นคนที่เดินทางมาจากที่ไกลๆ เค้าไม่ลำบากแย่หรือ
แล้วอีกอย่างก็ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่ก็เอาวะ พรุ่งนี้มาใหม่ก็ได้

วันรุ่งขึ้น ไปแต่เช้าเลย ต้องทำทุกอย่างเหมือนเดิมอีกรอบ
ถ่ายรูปใหม่ แปะโป้งใหม่ แต่คราวนี้เสีย 20 บาท ไม่มีใบเสร็จเหมือนเดิม
โกก็ขี้เกียจทวงนะ เพราะถ้าทวงแล้วเรื่องมันจะเยอะ
แล้ว 2 วัน ทำไมราคามันไม่เท่ากัน(วะ)

แอบถาม จนท.อีกครั้งว่า ภาษาปะกิตน่ะ มันเป็นโปรแกรมอัติโนมัติหรืออย่างไรเขาก็บอกว่าใช่เลย
เขียนภาษาไทยไปยังไง มันแปลให้เสร็จสรรพ
ก็ว่ากันไป จะแก้ตัวหรืออย่างไร โกไม่ติดใจ

แต่ก็อดเหน็บไปนิดไม่ได้ว่า 20 บาท นี่น่าจะให้พวกคนออกกันคนละ 10 บาทนะ
แล้วฝากไปบอกเจ้ากระทรวงของคุณด้วยนะว่า
ไอ้โปรแกรมแปลชื่ออัตโนมัติน่ะ มันใช่ไม่ได้หรอก เครื่องมันจะตรัสรู้ได้ยังไงว่าชื่อ-นามสกุลของใครเค้าจะเขียนยังไง พอผิดก็กลายเป็นความบกพร่องของประชาชน
ฮ่วย..

ใครจะทำบัตรใหม่ ก็ระวังเรื่องนี้ด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยกมือไหว้ ทักทายกัน

ไม่ว่าจะไปทำงานที่โรงแรมไหน สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำโดยเด็ดขาดก็คือ
การอบรมมารยาทของพนักงาน ไม่ว่าจะสูงจะต่ำระดับไหนก็ตาม
หนึ่งในหัวข้อเรื่องมารยาทที่พยายามพร่ำสอนมาโดยตลอดก็คือ การทักทายลูกค้าด้วยการไหว้
ทั้งนี้รวมถึงการทักทายหัวหน้างาน ไม่ว่าจะตรง จะอ้อม ก็ด้วย

แต่ปัญหามันมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้จะบอกพนักงานว่า อย่าไปคิดว่าเป็นการแสดงความเคารพสิไอ้น้อง
โกรู้ว่าคุณอาจจะไม่อยากไหว้เค้า เพราะเค้าไม่น่านับถือ
แต่ให้ถือว่ามันเป็นแค่การทักทายตามมารยาท
เราทักทายกันด้วยวิธี "ไหว้" เพราะมันเป็นวัฒนธรรมของคนไทย

เด็กมันสวนกลับมาว่า "ผมไหว้เค้าแล้ว เค้าไม่เห็นจะรับไหว้ผม ผมก็เลยไม่ไหว้(มัน)อีก"
เห็นมั้ย ข้อโต้แย้งมันเริ่มจากผู้ใหญ่กว่าทำตัวไม่น่ารักด้วยเหมือนกัน

ก็แล้วเวลาไหว้เจ้าของโรงแรม เค้ารับไหว้หล่อนทุกคนรึเปล่าล่ะ
"แหมพี่.. นั่นเจ้าของโรงแรมอ่ะ ไม่เป็นไร"
5555 เอ็งก็ Double Standard สินะ ทันสมัยน่าดูเลยวุ้ย..
ไหว้ๆ ไปเถอะน่า ยกสองมือมาประกบกันตรงหน้าตัวเอง เสียพลังงานนิดเดียว

ส่วนมากแล้วพนักงานเด็กๆ มักจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องแบบนี้นะครับ
ส่วนใหญ่ก็จะให้ความร่วมมือด้วยดี
ปัญหามักจะเกิดกับพวกใหญ่ๆ ระดับ ผช. ผจก. หรือ ผจก. มากกว่า
ใหญ่กว่านั้น เราก็อย่าไปพูดถึงเขาเลยนะครับ
พวกหัวหน้าทั้งหลายนี่แหละตัวดี ไม่ค่อยให้ความร่วมมือหรอก
ไม่รู้ว่านาฬิกาข้อมือมันถ่วงเอาไว้ หรือ Wrist Band มันอันใหญ่เกินไป
ยกมือไม่ขึ้นกันเลย
จริงๆน่าจะเป็นจิตใจที่ไร้สำนึกมากกว่าที่ถ่วงเอาไว้
ทำไงถึงจะล้างสิ่งโสโครกเหล่านี้ให้หมดไปได้ก็ไม่รู้
คงต้องใช้เวลาอีกนาน

บ่นๆไปยังงั้นแหละครับ ยังไงก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาสอนกันต่อไป
จนกว่าจะตายกันไปข้าง.

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

"..ก็แค่สงสัย ทำไมไม่รักในหลวง?"



โกเห็นรูปนี้จาก facebook ที่น้องคนหนึ่งเขียนข้อความส่งเข้ามา
เห็นรูปแล้วโกรู้สึกหลายอย่างพร้อมๆกัน

อย่างหนึ่งแน่ๆ ก็คือประทับใจกับข้อความที่คุณลุงเขียนใส่กระดาษไว้นั่น ประทับใจมากๆๆ แบบว่ามากถึงมากที่สุด
คำถามง่ายๆ ซื่อๆ ไม่ยอกย้อนซ่อนเงื่อน อาจจะเป็นคำถามที่คุณลุงไม่ได้ต้องการคำตอบ
แต่เป็นคำถาม ที่ถามเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นเก็บเอาไปตอบแก่หัวใจของตนเอง
คิดว่าใครๆหลายคนที่ได้เห็นรูปนี้แล้ว คงเห็นด้วยกับคุณลุงว่า "นั่นน่ะสินะ ทำไมล่ะครับ"

คนไทยเราส่วนใหญ่เกิดมาก็ถูกอบรมสั่งสอนให้รักและเทอดทูนในหลวง
คนที่อยากรู้อยากทราบว่าทำไมต้องรัก ต้องเคารพเทอดทูน
ก็ไปสืบเสาะค้นคว้าหามาว่าเพราะอะไร ทำไมโคตรเง่าศักราชของเราถึงรักในหลวง
เมื่อรู้แล้ว ต่างก็หมดความกังขา

คนบางคน ก็คนแบบโกนี่แหละ คนแบบที่หูไม่บอด ใจไม่ได้มืดมิด
ก็สามารถที่จะรับรู้ได้ด้วยข่าวสารตามธรรมดาว่า
พระองค์ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายแสนสาหัส
เพื่อทำอะไรให้กับผู้คนในประเทศนี้บ้าง

โกอยากจะบอกว่า แม้นเป็นเดียรัจฉาน ที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ก็ย่อมแสดงว่าชาติที่แล้ว เดียรัจฉานเหล่านั้นได้สั่งสมความดีมามากมาย จึงกลายมาเป็นคน
แต่ทำไมคนหลายๆคนเหล่านั้น มันไม่ทิ้งวิญญาณหรือสันดานเดิมเล่า
จะแห่แหนกล่าวหาว่าเดียรัจฉานซะทั้งหมดก็คงไม่ได้นะครับ
สัตว์หน้าขนยังรักลูก รักครอบครัว รู้จักกตัญญูบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคนที่ฟูมฟักมันมา

แต่ไอ้และอีทั้งหลายที่ร่ำร้อง อยากจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเล่า
โกคิดว่า หากมันต้องเกิดใหม่ในภพหน้า
ก็คงไม่แคล้วจะกลับไปเกิดเป็นเดียรัจฉานเหมือนเดิม

อีกอย่างที่โกอยากจะบอกก็คือ ด้วยอายุอานามขนาดนี้ หน้าตาแบบนี้
คุณลุงคนนี้ คงจะไม่มีปัญญาหรือเรี่ยวแรงไปไล่ยิงไล่ฟันหัวใคร
แต่วันนี้คุณลุงก็ออกมา รวมกับกลุ่มผู้คนทั้งหลายที่นัดๆกันมาจาก facebook
คุณลุงมาเพื่อถามคำถามคำเดียวเท่านั้น
"..ก็แค่สงสัย ทำไมไม่รักในหลวง?"

ขอบพระคุณ คุณลุงในภาพนี้มากๆ นะครับ ที่ถามคำถามนี้แทนพวกเราหลายๆคน
และไม่ว่าคุณลุงจะเป็นใคร ผมรักคุณลุงครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

พนักงานกับหัวหน้างาน

ความเดิมมีอยู่ว่า มีน้องสาวคนนึงในก๊วนของโกเขียนจดหมายเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจจากการทำงาน
----------
ขอระบายหน่อยนะคับพี่ๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากว่าเมื่อวานนี้ นู๋ส่งเมล์หาหัวหน้างานแผนก wh ให้ช่วยดูแลพนง. เรื่องออกไปข้างนอกก่อนเวลาพัก
ซึ่งปัญหานี้มีมานานมาก เคยคุยกับหัวหน้างานระดับ sup. ก็ไม่จัดการอะไร
จนเมื่อวาน เลยส่งเมล์หาระดับ Sup, Asst., และ Mgr. อีกครั้ง แล้ววันนี้หัวหน้าระดับ Asst. มันก็โทรไปด่าระดับ Sup. ว่าทำไมไม่ดู ยังงั้นยังงี้ ให้คนระดับ Staff ส่งเมล์มาด่าพวก Mgr. ทั้งหลายได้ยังไง
บอกแล้วใช่ไม๊ว่าอย่าไปไว้ใจ เพราะเค้าเป็น Hr. ถ้าเค้าคิดว่าเรื่องออกก่อนเวลาเป็นเรื่องสำคัญ (มันก็ต้องสำคัญสิ พูดแปลกๆ)
เราก็ต้องห้ามไม่ให้พนง. เราออกไป อย่าให้เค้ามาว่าได้ ประมาณนี้แหละ

แต่การที่หนูส่งเมล์ไป ไม่ได้ต้องการให้เค้าไปด่าลูกน้องอย่างนั้น มันต้องหาวิธีที่มันดีกว่านี้สิ แล้วไม่ใช่ว่ามาดูถูกเราซะงั้น
แถมมาล็อบบี้อีกว่าไม่ให้เด็กมาไว้ใจเรา (แอดเจอร์ คนนี้ก็ไม่มีใครจะชอบมันหรอกนะ)
แต่คือเราแคร์พวก WH มากกว่า เพราะจริงๆ แล้ว เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เค้าเดือดร้อน โดนด่าอ่ะ เลยเซ็งๆ
แล้วก็โมโหที่มันมาดูถูกเราว่าเป็นแค่ Staff นี่แหละ
อยากจะเอาตำแหน่งฟาดหัวมันจริงๆ เลย
ระบายแล้ว ดีขึ้นแหละ ขอบคุณคับ
หนูเอง
----------

หนูเอ้ย .. ใครจะคิดยังไงก็ไม่รู้นะ แต่รับรองว่าโกคิดไม่เหมือนใคร ไม่ใช่เพราะโกเป็นคนชอบคิดตามขวางนะ
แต่ มันเป็นมุมมองส่วนตัว
โกแยกมาตอบจดหมายของหนู เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับความคิดเห็นของพี่ๆ คนอื่นๆ ในบ้านเรา
แล้วพี่ๆคนอื่นๆ ด้วยความเคารพนะครับ โกเคารพความคิดเห็นของทุกท่าน
เพียงแต่โกมีแนวคิดที่แตกต่างออกไป ข้อเขียนของโกอาจจะรุกล้ำไปบ้าง โกไม่มีเจตนาร้ายนะครับ
ขอโทษไว้ก่อนเลย 555
แล้วก็.. ที่เขียนมานี่ ไม่ได้ต้องการจะว่าอะไรหนูนะ ยังรักเหมือนเดิม อิอิ แค่จะอธิบายกับหนูว่า "ทำไมเรื่องถึงเป็นอย่างนั้น"

ที่เกิดเรื่องอย่างนั้นเพราะว่า หนูเป็นคนเขียนเมล์ไปหาใครต่อใครด้วยตัวเองไงครับ
คำถามของโกคือ ทำไมถึงไม่เป็น HR Manager หรือใครก็ได้ที่เป็นหัวหน้า จะเรียกอะไรก็ตามแต่ ที่จะเป็นคนส่งเมล์ฉบับนั้นออกไป

แล้วมันต่างกันตรงไหน?

ต่างกันเยอะเลยครับ เพราะคนที่รับเมล์เค้าเป็นคนมี "ระดับ" แบบที่หนูว่าทั้งนั้นเลย ตั้งแต่ซุป ไปยันเอา ผจก.โน่นเลย กี่คนก็ไม่รู้ คนพวกนี้จะรักหัวโขนของเค้ายิ่งชีพหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็มีหัวโขนของเขาอยู่นะ
เขาจะดี จะเลว จะร้าย จะไม่มีใครชอบ ยังไงก็ตาม แต่เราก็ต้องให้เกียรติกับยศฐาบรรดาศักดิ์ที่เขาถือครองอยู่ ใช่หรือไม่?
อันนี้ฝ่ายบุคคลตอบค่อยๆก็ได้นะครับ เพราะเราต้องเป็นคนสอนให้พนักงานให้เกียรติและเคารพหัวหน้างาน เนอะ..
ระบบ Seniority ไม่ใช่ระบบศักดินา เอ.. หรือว่าใช่ แต่มันก็ทำให้มีการปกครองลดหลั่นกันลงไป
ถ้าทำงานแล้วไม่ต้องมีตำแหน่ง ทุกคนเท่ากันหมด จะเกิดอะไรขึ้นหนอ?

โอเช การแสดงความคิดเห็นสามารถกระทำได้ ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นได้เท่าเทียมกัน
จริงเหรอ?
เมื่อไหร่? หรือตอนไหนครับ? เมื่อนายถามใช่ป่าว หรือเมื่ออยู่ในที่ประชุมใช่ป่าว
อยู่ดีๆ เราเที่ยวได้เดินไปเสนอความเห็นให้คนโน้นคนนี้ได้ป่าวครับ เค้าจะได้หาว่าเราบ้าไง
หรืออยู่ดีๆ ไม่ดูลมฟ้าอากาศเที่ยวได้เดินเข้าไปแนะนำนายให้ทำโน่นทำนี่ .. ไม่เหมาะมั้ง

เหมือนอย่างในที่ทำงานของโกก็เหมือนกัน โกยังไม่สามารถเดินไป comment หัวหน้าแผนกทุกๆคนได้เลย
ทำได้เฉพาะที่สนิทๆกันเท่านั้นแหละ นอกนั้นก็ต้องเบาๆหน่อย อ้อมไปอ้อมมา หรือคอยเอาไปบอกในที่ประชุม
เวลาโกจะออกหนังสือสั่งการอะไรออกไป ก็ต้องเอาไปให้เจ้านายลงยันต์อีกชั้นหนึ่งก่อน
วิธีการแบบนี้ทำแล้วสบายตัว ใครจะด่าก็ไม่ได้เพราะเจ้านายลงชื่อรับรองเหมือนเจ้านายสั่งเอง

โกไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นในความเป็นแค่ Staff ของหนูนะครับ คนเราตำแหน่งไม่เท่ากัน ความรับผิดชอบก็ไม่เท่ากันด้วย
หากแต่การจะเป็นคนที่สามารถทำให้ผู้คนยอมรับนับถือ มันยาก
ไม่ใช่สักแต่ว่ามีหัวโขนครอบอยู่อันนึง แล้วคนอื่นก็ต้องให้ความเคารพ
ก็ใช่หรอกนะ แต่เราให้ความเคารพต่อหัวโขนนั้น ไม่ใช่คนที่ใส่มันอยู่
เหมือนทหาร บั้งเล็กๆก็ต้องตะเบ๊ะบั้งใหญ่ๆ แค่นั้นเอง
แต่ถ้าผู้คนเค้าให้ความเคารพตัวเรา มากกว่าหัวโขนที่เราสวมอยู่สิ.. อันนี้ค่อยน่าอภิรมณ์หน่อย
เป็นปลื้มเลยแหละ

ไม่อยากจะบอกเลยว่าหนูทำผิด แต่มันก็เป็นแค่ผิดวิธีเท่านั้นเอง
ที่ถูกแล้ว หนูน่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้างานของหนู แล้วให้หัวหน้าเขียนเมล์ฉบับนั้นส่งไปให้เค้า
ผลที่ตามมามีหลายแนวให้คิด
1. หัวหน้าอาจจะไม่ทำตามข้อเสนอของหนูก็ได้ อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อันนี้ค่อยมาวิพากษ์หัวหน้ากันอีกรอบ
2. ถ้าหัวหน้าส่งให้ หนูก็สบายตัวไม่ต้องมีเรื่องกลุ้มใจมากกว่าเท่าที่มีอยู่แล้ว แล้วเขาก็จะมองหนูในความรู้สึกทางบวกอีกด้วย

โกขอย้ำว่ารักหนูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หนูอยากระบาย โกก็อยากอธิบาย
แค่นั้นเอง..
นะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

หนูๆ ตั้งใจเรียนหนังสือกันนะจ๊ะ

“เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา จะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา ไม่ใช่เราบังคับได้ สุดแล้วแต่วิญญาณของเขาปรารถนาจะเป็นอะไร
อย่างเราดูดวงดาวเราก็คงไม่หวังปราถนาเอามาทำหัวแหวนของเรา เราให้อิสระเต็มที่ เหมือนเรารักนก เราไม่เอามาใส่กรง
เราให้ขอบฟ้าเขา เราให้อากาศเขา เราให้ดวงดาวเขา จะเป็นอะไรก็สุดแต่ใจเขาจะเป็น"
อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ.

โกได้อ่านบทให้สัมภาษณ์ของท่าน อ.อังคาร ประจวบกับที่เพื่อนๆ หลายคนเข้ามาบ่นๆแบบเล่าสู่กันฟังเรื่องลูกเล็ก
โกว่ามันเหมือนเป็นเวรเป็นกรรมของคนเป็นพ่อแม่อย่างนึงนะครับ ผู้คนมีครอบครัว มีลูก พอลูกโตก็ต้องขวนขวายวิ่งโร่หาโรงเรียนให้ลูก ได้มั่งไม่ได้มั่ง ดูข่าวทีวีที่เขาไปจับฉลากกัน ไอ้ที่กระโดดโลดเต้นดีอกดีใจ เห็นแล้วก็ดีใจไปกับเค้าด้วย แต่ที่กอดกันกลมร้องห่มร้องไห้ ดูแล้วมันช่างน่าสงสารเด็กไทย..

หลุดพ้นช่วงเด็กเล็กมาก็มาถึงช่วงวัยรุ่น ทีนี้แหละพ่อแม่ทั้งหลายเอ๋ย.. ทำไงดีเว้ยยยยย ปล่อยก็ไม่ได้ ขังก็ไม่ดี แต่อย่ามาถามโกนะจ๊ะ เพราะโกก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยเห็นแต่ลูกคนอื่น โกมีลูกกับเค้าที่ไหนล่ะ
โกเห็นวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่มาแล้วมากมายหลายครอบครัว ดีบ้างไม่ดีบ้าง ได้ดีบ้าง ได้ไม่ดีบ้าง โกไม่กล้าบอกหริกครับว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิด คนที่ออกมาสอนคนอื่นอยู่ปาวๆ ว่าต้องเลี้ยงลูกยังงั้นยังงี้ ลองหันกลับไปดูลูกของตัวเองก่อนเป็นไรเล่า.

พ่อแม่หลายๆคน มักจะตั้งความหวังเอาไว้ว่าลูกๆ จะเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อแม่
พ่อเป็นทหารก็อยากให้ลูกเป็นทหาร เป็นหมอ เป็นตำรวจ เหมือนๆกัน โดยลืมถามไปว่าคุณลูกเค้าอยากเป็นอะไร ตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต ก็พยายามเฝ้าทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จนสุดท้ายลูกก็กลายเป็นลูกแหง่ ทำอะไรไม่เป็น จะสอบเข้าก็ต้องให้พ่อซื้อข้อสอบให้....
ว้ายยยยย... ไปไหนเนี่ยะ

เจ้านายเคยเล่าให้ฟังว่ามีลูกของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เรียนหนังสือดีมาก จบปริญญาตรีเมืองไทย จบปริญญาโทเมืองนอก เรียนจบกลับมาอยู่บ้าน ถามพ่อว่าเรียนจบแค่นี้พอแล้วยังคะ พ่อตอบว่าถ้าลูกคิดว่าพอ ก็พอแล้วลูก คุณลูกก็เลยบอกพ่อว่าถ้ายังงั้นหนูไม่เรียนต่อแล้วนะคะ แล้วก็ขออนุญาตทำงานอย่างที่หนูอยากทำนะคะ คุณพ่อหลงกลตอบว่าได้เลยลูก คุณลูกสาวเลยไปเปิดร้ายเบเกอรี่สบายใจเฉิบ
โกถามเจ้านายว่าแล้วเค้าจะเรียนไปทำไมละนั่น ทำไมไม่ไปเรียนทำขนมให้มันรู้แล้วรู้แร่ดไปเลย
นายตอบว่าเรียนเอาใจพ่อแม่ไง เพราะพ่อแม่อยากให้เรียนสูงๆ
แบบนี้ก็มี.. เสียดายเวลาและเงินทองที่เสียไปเนอะ

น้องสาวอีกคนมานั่งร้องห่มร้องไห้ โกก็ซื้อเหล้ามาให้กินปลอบใจ โกกินด้วย 3 แก้ว แล้วไปนอน
ตื่นมาอีกทีตอนตี 2 น้องสาวยังเศร้าไม่เลิกเลยอ่ะ อิอิ
เรื่องคือน้องกำลังจะจบปริญญาตรีจาก ม.กรุงเทพ ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แถมมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ชัวร์ๆ คุณแม่โทรมาจากเมกา บอกว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรียนจบปุ๊บเดินทางมาได้เลยปั๊บ
ครือว่า คุณแม่จะให้ลูกสาวไปเรียนต่อโทที่โน่นน่ะครับ เค้ามีร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่นด้วย คุณลูกสาวต่อรองว่าขอไปหลังปีใหม่ได้ป่าว คุณแม่(ตอนนี้ยัง)ไม่ยอม ลูกสาวเลยเศร้าจายยย..
โกฟังเรื่องเศร้าของน้องเค้าแล้วก็เลยต้องซื้อเหล้ามาปลอบใจอย่างที่บอก เพราะโกรู้สึกเศร้ากว่าเมื่ื่อน้องเค้าถามโกว่า ที่พ่อแม่จัดการให้น่ะมันดีที่สุดแล้วจริงๆเหรอ

คุณลูกทั้งหลายครับ ไอ้ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้น่ะ มันอาจจะไม่ถูกใจเราไปซะทุกอย่างหรอกนะครับ
แต่โกเชื่อว่ามันอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความห่วงใยนะครับ


คุณลูกทั้งหลายโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เกิดมามีพ่อแม่ที่สามารถเตรียมอะไรๆ หลายๆ เอาไว้ให้เราได้ ลองมองไปรอบๆตัวเรา ณ เวลานี้สิครับ มีผู้คนอีกมากมายแค่ไหน ที่เค้ามีน้อยกว่าเรา หรือแทบไม่มีเลย
อยากจะเรียนใจจะขาดแต่พ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งให้เรียน หรือต้องเสียสละให้พี่ ให้น้องเรียนแทน
เรียนๆ กันเข้าไปเถอะครับ จะเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ขอให้เราตั้งใจเรียน ขอให้เราประพฤติปฏิบัติดี
จบออกมาแล้วก็หางานทำ เป็นคนดีของครอบครัว เป็นคนดีของสังคม อย่าให้ใครมาตราหน้าว่าชาติหมา ตั้งแต่ยังไม่ตายนะครับ บ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุข

แต่อย่าเชื่อโกมากนะครับ บอกแล้วว่าโกไม่มีลูก.

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

มืออาชีพ

เมื่อเช้ามีจดหมายเขียน เข้ามาในบ้านเพื่อขอความเห็นว่า
หลักสูตรอบรม "นักบริหารบุคคลมืออาชีพ" ค่าอบรมหัวละเกือบ 4 หมื่นบาท
อบรม 3 เดือน จะมีความรู้เท่ากับทำงานมาแล้วหลายๆปี
มันจะสามารถเป็นไปตามที่เขาประกาศได้หรือไม่ อย่างไร?

เรื่องการจะเป็นมืออาชีพ โกคิดแบบนี้นะครับ

สมัยก่อนโน้นนนน นานมาแล้ว โกเคยถูกรับเชิญไปพูดจาปราศัยให้เด็กมหา'ลัย วิทยาเขตภูเก็ตฟัง
เรื่องชีวิตการทำงานในโรงแรม ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งถึงเวลาทานข้าว
เจ้าภาพจับแยกโต๊ะให้ Guest speaker 1 คน นั่งทานข้าวกับเด็ก 8-9 คน
วัตถุประสงค์เพื่อจะได้ถามตอบปัญหาเรื่องที่เด็กอยากรู้แบบล้วงลึก ถึงลูกถึงคน
โกสนองนโยบายแบบไม่มีอิดออด ..... อิอิ ชอบๆ

ถามเด็กๆ ว่าจบออกไปแล้วจะทำงานอะไร หรือจะทำงานโรงแรมอย่างที่ได้เรียนกันมา
คนโน้นก็จะทำไอ้นั่น คนนั้นก็จะทำไอ้นี่ ต่างคนต่างคิด ไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่แปลกคืิอมีคนนึงตอบว่า "ผมตั้งใจว่าจะออกไปเป็น junior management ในโรงแรม"
โกก็บอกว่า "อาจจะลำบากหน่อยนะ เพราะเราเพิ่งจบออกไป ยังไม่มีประสบการณ์ จะไปเป็นผู้บริหารเลยเชียวเหรอ?"
เด็กเถียงว่า "ผมเรียนจบมหาลัยแล้ว ฝึกงานที่โรงแรมของมหาลัยมา 2 ปี ผมคิดว่าผมมีประสบการณ์เพียงพอ อาจารย์ก็บอกยังงั้น"

โกก็บอกว่า "ออกไปทำงานจริงๆ ข้างนอก มันไม่เหมือนฝึกงานนะ คนที่รับเชิญมาพูดเค้าก็พูดแนวนี้ทุกคน ก็ได้ยินไม่ใช่หรือ?
มันก็เถียงๆๆๆๆๆๆ สุดท้ายโกก็เลยบอกว่า "ลืมถามไป.. มีพ่อเป็นเจ้าของโรงแรมรึเปล่า? ถ้าใช่ ก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ.."
เด็กมันเอาไปฟ้องอาจารย์ อาจารย์โทรมาต่อว่า ว่าทำไมถึงพูดแบบไม่ให้กำลังใจเด็กเลยล่ะ
โกก็บอกว่า โกพูดเรื่องจริง อาจารย์สอนเด็กประสาอะไร ว่าจบมหาลัยแล้วต้องได้เป็นผู้บริหาร อาจารย์บ้าป่าว..
แบบว่าคนรู้จักกันน่ะครับ .. แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เค้าก็เลยไม่ได้เชิญโกไปพูดอีก อิอิ

เรื่องความรู้ความสามารถนี่มันเรียน มันสอนกันได้นะครับ คงไม่มีใครเถียงโกหรอกนะ
แต่คนเรียนน่ะ จะรับเอาไอ้ที่เค้าสอนมาได้ทั้งหมดรึเปล่า นั่นมันอีกเรื่องนึง
ถ้าเรียน 3 เดือน จบออกมาแล้วเป็นมือาชีพกันหมดเลย แล้วไอ้พวกเรียนมหาลัย 4 ปี
ได้ทำงานตรงสายงาน เค้าไม่เป็นมืออาชีพกันหมดเลยหรือครับ

หลักสูตรที่ว่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเค้าบอกว่าผู้สมัครจะต้องทำงานมาแล้วจำนวนเวลาหนึ่ง
เป็นการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ละก็ โกถือว่าโอเคครับ แต่เค้าไม่ได้ว่ายังงั้น โกก็ถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง

ยกให้อีกตัวอย่างก็ได้ครับ ถ้ามองไม่เห็นภาพ
อย่างวิชาการพยาบาลบ้านเราน่ะ มันมี 2 แบบ คือ เรียน 2 ปี จบออกมาเป็นพยาบาลเทคนิค
กับ เรียน 4 ปี จบออกมาเป็นพยาบาลวิชาชีพ พวกเทคนิคก็จะมีศักดิ์ศรีด้อยก ว่าพวกวิชาชีพเป็นธรรมดา

ก็จะมีคนประเภทหนึ่ง เค้าจะเลือกเรียนแค่ 2 ปีก่อน แล้วก็ออกไปทำงาน อาจจะไม่มีเงินเรียน 4 ปีก็ได้
พอทำงานไปซัก 4-5 ปี (อันนี้ไม่แน่ใจเรื่องเวลา) เมื่อวิชาแก่กล้า ก็ขอลาราชการไปเรียนต่ออีก 2 ปี
จบออกมาก็เป็นพยาบาลวิชาชีพสมศักดิ์ศรีกุลสตรีไทย
แล้วมัน ต่างกันตรงไหนล่ะท่าน..
ต่างกันตรงที่ว่า เค้าจะเรียน 2 ปีหลังง่ายกว่าเยอะเลยครับ เข้าใจเนื้อหาที่จะต้องเรียนง่ายกว่าพวกที่เรียน ปี 3 เยอะมาก
อาจารย์ก็จะไม่มาเรื่องมากกับพวกนี้ เพราะรู้แล้วว่าเป็นคนที่ผ่านการทำงานมาแล้ว
เรียนจบกลับไปทำงาน คราวนี้ก็ไม่เป็นพยาบาลวิชาชีพต๊อก ต๋อยอีกแล้ว

ทั้งหมดที่ว่ามานี่ เพียงแค่อยากจะแสดงความเห็นว่า จะเรียนมามากหรือน้อย มันไม่ได้ทำให้คุณเป็นมืออาชีพขึ้นมาได้หรอกครับ
มันมีองค์ประกอบมากกว่านั้นอีกเยอะเลย.. ถึงคุณไม่ได้เรียนอะไรมามากมาย แต่ถ้าคุณรู้จักทำงานให้เป็นระบบ
รู้จักที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ยอมอยู่กับที่ คุณก็เป็นมืออาชีพได้
แต่ถ้าเรียนมาแล้ว คุณนิ่งๆ อยู่กับที่เฉยๆ แล้วก็เที่ยวได้ไปบอกใครต่อใครว่า ข้านี่แหละมืออาชีพ
คุณไม่ใช่หรอกครับ


"คุณบอกใครๆได้ ว่าคุณเป็นแชมเปี้ยน แต่ให้คนดูบอกเองว่าคุณเก่ง"
Jack Nicklaus

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

มารยาทในสังคมการทำงาน

โกเอาบทความนี้มาจากบนเน็ทนี่แหละครับ ส่งกันไปส่งกันมา แต่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ว่าใครเขียน
ขอขอบคุณผู้เขียนเอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยก็แล้วกันนะครับ
โกใช้ประโยชน์จากบทความนี้ ในการแนะนำพนักงานใหม่และหัวหน้างานในโรงแรมที่โกทำงานอยู่
เอามาบันทึกไว้ในนี้ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นที่ยังไม่เคยได้อ่านบ้าง

ลองอ่านดูนะครับ

การสมัครงาน
1. มีบุคลิกภาพที่ดี เมื่อพบกันครั้งแรก
2. ต้องให้เกียรติผู้ร่วมงาน ไม่ว่าจะมีอายุน้อยกว่าหรือไม่
3. ต้องอ่านเอกสารให้ดี ก่อนจะตั้งคำถาม
4. ไม่ร้องขอการปฎิบัติที่พิเศษกว่าคนอื่น ๆ
5. มั่นใจว่าทราบถึงงานที่จะได้ทำ
6. ไม่ถามถึงค่าจ้าง เว้นแต่ผู้สัมภาษณ์เอ่ยถึง

การสัมภาษณ์งาน
1. ต้องไปก่อนเวลานัดอย่างน้อย 15 นาที
2. แต่งกายสุภาพถูกต้องตามกาลเทศะ
3. ไม่มีอาการป่วย
4. ตาต้องมองผู้สัมภาษณ์ตลอดเวลา
5. ใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่าย
6. เตรียมตัวมาตอบคำถาม
7. ไม่ขี้อาย ต้องกล้าแสดงออก
8. ไม่เสแสร้ง มีความจริงใจ
9. ควบคุมมือให้ดี
10. บอกค่าจ้างที่คาดว่าจะได้ โดยไม่หลอกตัวเอง
11. จำชื่อผู้สัมภาษณ์และควรขอนามบัตรไว้
12. เก็บเก้าอี้ที่นั่งเข้าที่เดิม เป็นที่น่าสังเกตว่าคนไทยมักไม่เลื่อนเก้าอี้กลับเข้าที่เดิม หลังจากลุกขึ้นจากเก้าอี้
****ลองสังเกตดูนะคะ เราไม่ได้รับการสอนในเรื่องนี้มา****

วันแรกของการทำงาน

1. ไม่ไปทำงานสาย
2. ทักทายทุกคน
3. ทานอาหารเที่ยงกับเพื่อนร่วมงาน เพราะจะได้ทราบความเป็นไปขององค์กร เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
4. อ่าน และพร้อมที่จะถาม
5. นำงานที่ทำเสร็จแล้วให้หัวหน้าดู
6. ของานมาทำโดยไม่ต้องรอ

ชีวิตการทำงานต้องเก็บความลับเรื่องเงินเดือนไว้ อันนี้เป็นมารยาทที่คนไทยไม่ค่อยมีอีกเหมือนกัน
เพราะความอยากรู้อยากเห็นที่มักจะถามเรื่องเงินเดือนที่ได้รับ ที่สำคัญคือต้องขออนุญาตทุกครั้งที่ลา ขอความช่วยเหลือ
ขอความเป็นส่วนตัว ขอใช้ทรัพย์สินของผู้ร่วมงาน และขอใช้สิทธ์ที่ไม่ได้รับอนุญาต ถ้าทำผิดต้องขอโทษ
ต้องมีศิลปะในการใช้ภาษาอย่างดี มีมารยาทและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน คิดบวก พูดบวกและทำบวก
มีจุดยืน มีความรับผิดชอบ ค้นหาสาเหตุของความผิดพลาด รักษาความลับ ศึกษาเจ้านาย เรียนรู้ผู้อื่นและเข้าใจเจ้านายของคุณ
ต้องรู้ความผิดพลาดและข้อบกพร่องของคุณเป็นคนแรก พัฒนาตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน

จงหลีกเลี่บง
1. การขอให้ผู้อื่นทำงานแทนโดยไม่ได้แจ้งหัวหน้า
2. การตำหนิผู้อื่นโดยตรง
3. การนินทาหรือแทงคนข้างหลัง
4. การทำเป็นเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ
5. การหัวเราะในความผิดพลาดของผู้อื่น
6. การทำตนเป็นผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย
7. การเป็นคนขี้ขลาด
8. การมีอคติ

มารยาทในการรับโทรศัพท์
1. รับเมื่อมีเสียงเรียกภายใน 3 ครั้ง
2. ยิ้มก่อนรับโทรศัพท์
3. กล่าวคำทักทาย บอกชื่อผู้รับและสถานที่
4. กรณีรับฝากข้อความ ต้องถามชื่อผู้โทรฯมา บันทึกชื่อ ข้อความ วันที่และเวลา
5. กล่าวคำสวัสดี
6. รอให้ผู้โทรฯมาวางสายก่อนเสมอ

การเปลี่ยนงาน
1. อย่าเลือกงานที่เรารัก ให้รักงานที่ทำ
2. เมื่อพบทางตันให้ถามตัวเอง 3 ป. เปลี่ยนเขา เปลี่ยนเราหรือเปลี่ยนแปลง
3. หัวหน้าควรเป็นคนแรกที่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง
4. อย่าพูดหากยังไม่แน่ใจ
5. อย่ากลัวเสียหน้า แต่จงหาทางแก้ไข
6. วางแผนและให้เกียรติองค์กรเสมอ

การลาออกจากงาน
1. อย่าหายไปเฉยๆ จากองค์กร
2. ควรเข้าไปพูดกับหัวหน้าก่อนส่งจดหมายลาออก
3. เขียนจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการ
4. บอกเหตุผลในการลาออก
5. แสดงความรับผิดชอบในงานจนถึงวันสุดท้ายของการทำงาน

วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

เด็กเอ๋ย เด็กน้อย...

เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
ความรู้เรายังด้อยเร่งศีกษา
เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา
เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน
ได้ประโยชน์หลายสถานทั้งการเรียน
จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน
เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย ฯ

โกท่องบทดอกสร้อยสุภาษิตนี้ ตั้งกะสมัยเรียนโรงเรียนอนุบาลที่จังหวัดยะลา
ประมาณปี 2510 โน่นแน่ะ กี่ปีแล้วก็ไม่รู้ อิอิ บวกลบเลขกันเองแล้วกันนะจ๊ะ
มีบทอื่นๆ อีกหลายบท เข้าไปดูกันได้นะครับ จะได้เอาไปฝากลูกๆหลานๆได้ท่องกัน
คนโคราชเค้ารวบรวมเอาไว้จ้ะ ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสอันงดงามนี้ด้วยนะขอรับ
http://www.koratinfo.com/doksroi/index.html

โกนึกถึงกลอนดอกสร้อยบทนี้ขึ้นมา เพราะช่วงนี้มีน้องๆ หลายคนกำลังอยู่ในห้วงทุกข์
คนนั้นก็ทุกข์เรื่องนี้ คนนี้ก็ทุกข์อีกเรื่องนั้น แต่ที่เหมือนกันก็คือเป็นทุกข์ที่เกิดจากหัวหน้างาน
เป็นบรรดาน้องที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานการบริหารงานบุคคล เช่นเดียวกับโกนี่แหละ
อาจบางที มันจะเป็นความผิดของพวกเราเองตั้งแต่แรกรึเปล่า ที่เลือกมาทำงานด้านนี้
บางคนอาจจะไม่ได้เลือกเองด้วยซ้ำไป แบบว่าโดนบังคับให้มาทำก็คงมี
เคยได้ยินเรื่องคนโดดลงไปช่วยคนตกน้ำมั้ยครับ ขึ้นมาได้แล้วพวกถามว่า "ใครถีบกูลงไปวะ ?"
แบบเดียวกันนี้แหละครับ

การทำงาน เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบแบบหนึ่งของชีวิตครับ
มันบอกว่าเราโตแล้วก็ได้ เพราะเรากำลังหาเลี้ยงตัวเอง และอาจต้องหาเลี้ยงคนอื่นด้วย
ทุกคนจึงต้องทำงาน นอกเสียจากว่า จะเกิดมาบนกองหุ้นโทรคมนาคม อิอิ

ชีวิตการทำงานเป็นอะไรที่เราต้องเรียนรู้นะครับ
ไม่มีใครรู้หรอกว่าต้องทำอะไรบ้าง จนกว่าจะได้เข้าไปสัมผัสกับเนื้องานจริงๆ
ไอ้ที่เรียนมาตั้งหลายๆปีน่ะ เอาเข้าจริงก็ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้างซะงั้น
มันต้องมาเรียนรู้จากของจริงกันอีกหลายอย่าง หลายเรื่องครับ และหลายยก
เข้าไปเรียนปีแรก เราก็เป็นน้องใหม่ในโรงเรียน หรือในมหา'ลัย
เข้ามาทำงานวันแรก เราก็ต้องเป็นน้องใหม่เหมือนกัน และเป็นไปเรื่อยๆ จนกว่่าจะมีคนมาแทนที่
มีหลายอย่างที่ชีวิตการทำงานต้องเผชิญกับมัน รวมถึงเพื่อนร่วมงานและ แอ่นแอ้นนน... "หัวหน้างาน"
ใครที่เข้าไปทำงานใหม่ๆ แล้วมีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีหัวหน้างานที่ดี โอยยย.. พระเจ้าจอร์จ
ชีวิตช่างสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา โดยไม่ต้องถูสบู่ลักส์
มีเพื่อนร่วมงานดี หัวหน้างานไม่ดี ชีวีก็ยังพอทำเนา
แต่ถ้าเพื่อนร่วมงานก็ไม่ดี ซ้ำร้ายหัวหน้างานก็งี่เง่า พระเจ้าช่วยลูกด้วย...
ชีวิตวัยรุ่นอย่างเราคงอับเฉาสิ้นดี..
หัวหน้างานไม่ดีนี่แหละครับ ต้นเรื่องที่ต้องเอามาเขียนกัน เจอแบบนี้แล้วเราควรจะทำอย่างไร

โกอยากบอกว่า เมื่อเจอหัวหน้างานแบบที่เราคิดว่าไม่ดี หัวหน้างี่เง่า ฯลฯ
ลองสงบสติอารมณ์ตัวเองลง แบบตั้งสติก่อนสตาร์ทน่ะครับ คิดซักสองตลบ สามก็ได้โกไม่ว่าหรอก
"เอาไงดีวะ" คิดเองไม่ออก ลองปรึกษาผู้ใหญ่ที่เรานับถือดูก่อนก็ได้
อย่าเพิ่งไปตั้งท่าจะรบกับเค้าครับ เค้าไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรามันของแน่อยู่แล้ว
แต่ตอนนั้น ใครผิดใครถูกยังไม่รู้ เราเป็นเด็ก ไปออกอาการท้ารบกับหัวหน้างาน ยังไงเราก็ผิดครับ
ถึงไม่ได้ผิด แต่หัวหน้าก็เริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาบ้างแหละน่า มันดีอยู่หรือที่หัวหน้าจะรู้สึกกับเราแบบนั้น

โกพยายามพร่ำสอนลูกน้องอยู่ทุกบ่อยว่า "อย่าไปทะเลาะกับลูกค้านะ"
ลูกค้าผิด เราถูก พอลูกค้ามาฟ้องหัวหน้า เราก็ผิด
เราผิด ลูกค้าถูก ลูกค้ามาฟ้องหัวหน้า เรายิ่งผิดใหญ่โตมโหระทึก
อย่าเลยครับ อย่าไปทะเลาะกับหัวหน้า ค่อยๆหาหนทางไป เดี๋ยวก็เจอ

อย่ามาเถียงนะครับว่า "ทำไม ลูกน้องมันจะมีความคิดดีๆบ้างไม่ได้เลยเหรอ?"
ได้ครับ แต่มันจะต้องมีวิธีนำเสนอที่ถูกต้อง ไม่ใช่เราไปทำเองซะทั้งหมด
หัวหน้าแบบนี้เค้าค่อนข้างจะเชื่อมั่นตัวเองน่ะครับ สูง ถึงสูงมาก จนเอื้อมไม่ถึง

ทำงานฝ่ายบุคคล ก็ต้องรู้จักศึกษาคนนะครับ
เริ่มต้นศึกษาหัวหน้างานของตัวเองก่อนเลยครับ ว่าเค้าเป้นคนแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
ไม่ใช่เพื่อจะได้เอาใจเค้าถูก
แต่เพื่อจะได้รู้ว่า จะรับมือกับเค้ายังไงต่างหากครับ.

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เลือกใครดีหว่า

เพลง รักคนที่เขารักเราดีกว่า
คำร้อง/ทำนองโดย สง่า อารัมภีร์ ขับร้องครั้งแรกโดย ปรีชา บุณยเกียรติ

รักคนที่เขารักเราดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเวลาคอยงอนง้อ
ยามจะกินจะนอนเขาคงออดอ้อนพะนอ เฝ้าเคล้าคลออยู่เคียงไม่ห่างไกล
รักคนที่เขารักเราดีกว่า ไม่ต้องมาพะวงจนหลงไหล
คนที่เรารักมักทำให้ช้ำ ดวงใจ หม่นฤทัยเข็ดกลัวไปจนตาย
รักคนที่เขารักเราดีกว่า ไม่ต้องมาพะวงจนหลงไหล
คนที่เรารักมักทำให้ ช้ำดวงใจ หม่นฤทัยเข็ดกลัวไปจนตาย
รักคนที่เขารักเราดีกว่า สุขอุราดีกว่าเป็นไหนๆ
มีแต่ความรื่นรมย์หมายชมภิรมย์กายใจ สุขฤทัยดั่งใจเราปรารมภ์

เพลงนี้น่าจะมาดังเอาจริงๆจังๆ ก็ด้วยผลงานการขับร้องของคุณสุเทพ วงศ์กำแหงนะครับ
วัยรุ่นสมัยนี้เค้าชอบถามกันนักว่า จะ เลือกใครดี ระหว่างคนที่เรารักเขาหรือคนที่เขารักเรา
พี่ ป้า น้า น้อง อา ลุง ปู่ เจ๊ ในบ้านนี้ทุกท่าน ถ้ามีใครมาถามปัญหานี้ จะตอบเค้าว่ายังไงครับ

การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคน 2 คนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือเรื่องเล่นๆ นะครับ
คน 2 คนรักกัน แต่งงานกัน ตอนที่อายุประมาณซัก 25 - 30 ปี
แปลว่าจะได้ อยู่ร่วมกันไปอีกประมาณ 50 ปี เป็นอย่างน้อย
หมายถึงถ้าอยู่กันยืด แบบที่เรียกว่า "ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร"
แต่กับบางคน บางคู่ ก็อยู่ด้วยกันแป๊บนึง ให้ชาวบ้านเค้านินทาเอาว่า
"อะไรกัน หม้อ(ข้าว) ยังไม่ทันดำเลย เลิกกันซะแล้ว"

สมัยก่อนนี้เวลาหุงข้าว เราใช้เตาถ่านน่ะครับ หรือไม่ก็ใช้ฟืนเลย
คงจะไม่เคยหุงข้าวเช็ดน้ำด้วยเตาถ่านกันละซี่ (ทำเสียงสูงนิดนึง)
หุงข้าวด้วยวิธีนี้ก้นหม้อมันจะดำ อันเนื่องมาจากความร้อนของไฟชนิดถ่าน เป็นเรื่องธรรมชาติครับ
สมัยใหม่เราหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า มันจะไม่มีสภาพหม้อก้นดำให้เห็น
แต่ภรรยาบางคนแย่กว่านั้นอีก เพราะหุงข้าวไม่เป็น ไม่ว่าจะด้วยหม้อแบบไหน
อาศัยซื้อเค้ากินอย่างเดียวเลย เราเรียกว่าแม่บ้านถุงพลาสติค
มีพี่ข้างบ้านคนนึงเคยปรารภให้ฟังว่า "กูเกิดมาโชคดีที่ชอบกินไข่"
หมายฟามว่าไง สาวๆโปรดเก็บเอาไปคิดเป็นการบ้านนะจ๊ะ
วันหลังจะคุยให้ฟังเรื่องเมียหัวฟูทำกับข้าวไม่เป็น

พูดถึงเรื่องหุงข้าวเช็ดน้ำ มันมีศัพท์เพิ่มมาให้พูดถึงอีกคำ คือคำว่า "องคุลี" เคยได้ยินมั้ยครับ
มีความหมายตามพจนานุกรมว่า "หมายถึงชื่อมาตราวัดแต่โบราณ ยาวเท่ากับข้อปลายของนิ้วกลาง"
แต่เวลาโกหุงข้าว โกวัดกับข้อนิ้วชี้ทุกทีแหละ ไม่อยากกำมือแล้วเอานิ้วกลางจิ้มลงไป..

เขียนเรื่องการเลือกคู่ครอง มาออกหม้อหุงข้าว ต่อไปถึงองคุลี เดี๋ยวก็ไปถึงกาแฟหมาจนได้
5555
รู้จักกันรึเปล่าครับกาแฟหมา "น้ำข้าว" ไงครับ วิตามินทั้งนั้นและไม่มีราคาค่างวด
ใส่เกลือลงไปหน่อย อร่อยดีนักหนา

การหุงข้าวมีอีกแบบนะครับ คือแบบไม่เช็ดน้ำ เหมือนกับที่เราหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้านี่แหละครับ
แต่หุงด้วยเตาถ่านสมัยก่อนมันยากกว่าเยอะ เพราะต้องกะน้ำ กะไฟให้พอดี ไม่งั้นเป็นเรื่อง
ไม่เหมือนกับนึ่งข้าวด้วยซึ้งนะครับ อันนั้นหมูตู้
ข้าวก็มีหลายแบบอีก ข้าวเก่า ข้าวใหม่ โอ้ยยย...กว่าจะอยู่ตัว อ้าว..ข้าวหมดถังซะแล้ว
ไปซื้อมาใหม่ ก็ต้องมานั่งวัดดวงกันใหม่อีกรอบ ถ้าดูข้าวไม่เป็น
ความสนุกสนานของคนสมัยก่อน มันเป็นแบบนี้แหละครับ

มาว่ากันเรื่องคู่ครองของเราต่อดีกว่า ออกทะเลไปไกลเกินไปแล้ว
ไม่งั้นจะพูดเรื่องไม้ขัดหม้อข้าวให้ฟังอีกเรื่อง

คนเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โกว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เขารักเรา หรือ เรารักเขา หรอกครับ
ปู่ย่าตายายสมัยก่อนหลายๆคู่ เค้าก็ไม่ได้รักกันซักหน่อย โดนพ่อแม่จับแต่งกันตั้งเยอะแยะ
ที่เค้าเรียกว่า "คลุมถุงชน" น่ะครับ คงจะรู้จักความหมายกันดีนะครับ
ไม่งั้นเดี๋ยวได้เลี้ยวซ้ายออกไปอธิบายกันอีก

แต่เค้าก็อยู่กันยืดนะครับ ด้วยเหตุว่ามีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไว้ใจกัน และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
เรื่องนี้สำคัญนะครับ คนเราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน..

เคยมีคนถามโกว่า โกคิดยังไงกับวัฒนธรรมของฝรั่งที่เค้าอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงาน
ความจริงจะเรียกว่าวัฒนธรรมก็คงไม่ถูกนักหรอกนะครับ
มันเป็นวิถีชีวิตอย่างหนึ่งของฝรั่งมังค่า แล้วเค้าก็ไม่ได้ถือปฏิบัติกันซะทั้งหมดโดยทั่วไป
แต่ปัจจุบันคนไทยเอามาเลียนแบบกันให้รึ่ม โดยเฉพาะนักศึกษาหอพักหน้ามหา'ลัย
พูดแล้วเปรี้ยวปาก อยากกินมะม่วง
โกคิดว่าการอยู่กันก่อนแต่งงานแบบฝรั่งเป็นเรื่องดีนะครับ
"อ้าว.." น้องเขาร้องแบบนี้
"โกตอบยังงี้ เพราะโกเป็นป้อจายนี่หว่า ยังไงก็ได้เปรียบอยู่แล้ว ชอบล่ะสิ"
"อ้าว.." โกร้องบ้าง "งั้นแล้วเอ็งจะมาถามทำไมล่ะวะ เอกสิทธิ์ในการตอบเป็นของโกมิใช่หรือ"

โกว่าถ้าเราไม่เอาเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบมาเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ
เพราะผู้ชายหลายๆคนในโลกนี้ จะมีพฤติกรรมก่อนแต่งและหลังแต่งไม่เหมือนกัน
อันนี้สาวๆ คงจะเห็นด้วยกับโกเป็นส่วนมาก
ตอนเป็นแฟนกัน เดินด้วยกัน มีหมามาเห่าใส่ มันเตะหมา "มาเห่าแฟนกรูทำไม"
แต่งงานกันแล้ว เดินด้วยกัน มีหมามาเห่าใส่ มันเตะเมีย "เดินยังไงให้หมาเห่า"

อันนี้เป็นอุทาหรณ์ เล็กๆ น้อยๆ
ผู้ชายคนที่เราเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถ้าเขาเสมอต้นเสมอปลาย ก่อนและหลังเหมือนกัน
คุณก็เหมือนถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่นะครับ
แต่ทีนี้มาคิดว่าตอนจีบกันมันเป็นอย่างนึง มาอยู่ด้วยกันแล้วมันเปลี่ยนไป
เราก็เลิกได้นี่ครับ หรือว่าคุณจะฝืนทนอยู่กับผู้ชายกลายพันธุ์ ไปจนวันตาย
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องลองไปอยู่กับใครหรอกครับ เพราะผลลัพธ์มันเหมือนกัน

กลับมาที่คำถามว่า เลือกคนไหนดี
โกอยากตอบว่า เลือกคนที่เขารักเราดีกว่า เหมือนในเพลงที่ยกมานั่นแหละครับ เพราะเขารักคุณ เขาจะอยู่กับคุณไปจนตาย (ยกเว้นว่าตัวคุณเองไปทำอะไรเข้า)
แต่ถ้าคุณเลือกจะอยู่กับคนที่คุณรัก เค้าอาจจะไม่ทนอยู่กับคุณก็ได้นะครับ เพราะเค้ารักคนอื่นอยู่

ขอให้คุณโชคดี ได้อยู่กับคนที่คุณรักและเขารักคุณ..นะครับ..

โก

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สัมภาษณ์ - สัมพลาด

คนจะสัมภาษณ์งานคนอื่น ต้องมี/ต้องใช้ทักษะแบบไหนบ้าง
สืบเนื่องจากข้อเขียนของหลวงพี่เต้ย โกเลยอยากจะมาวิสัชนากับเค้าบ้าง

เรื่องที่หลวงพี่วิสัชนามา โกขอรับสารภาพลดครึ่งว่า ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่นะครับ
และต้องขอชมว่าหลวงพี่เยี่ยมจริงๆ ที่ได้พยายามไปเรียนโน่นเรียนนี่มาหลากหลาย เพื่อจะเอาความรู้มาสัมภาษณ์คน
แต่สุดท้าย ก็มาจบลงตรงคำว่า Common Sense ใครรู้ช่วยบอกโกทีว่ามันแปลว่าอะไร?

ถ้าจะแปลว่า "สามัญสำนึก" จริงๆแล้วมันถูกรึเปล่า อันนี้ไม่ทราบจริงๆนะครับ
เปิดชินดิกบุนนาคยี่ห้อ Lexitron คุณนายให้ความหมายว่า "การตัดสินแบบพื้นๆ" เอาเข้าแล้วไง !!
มันจะเหมือนกับ Food Floor House มั้ยครับลูกพี่ ที่มันแปลว่า อาหารพื้นบ้านน่ะ
ถ้างั้นเอาสองตัวมารวมกัน แล้วให้มันแปลว่า สำนึกเบื้องต้น สำนึกพื้นๆ สำนึกธรรมดาๆ จะง่ายกว่ามั้ย

หลังจากที่หลวงพี่เสาะแสวงหาความรู้มานาน จนมาเจอคำว่า Common Sense เข้า
มันก็คงคล้ายๆกับที่โกค้นพบว่า มือถือราคาถูก ใช้งานไม่ดีเท่าราคาแพงนั่นแหละครับ
โปรดฟังอีกครั้ง
เมื่อแรกรัก โกก็ซื้อมือถือราคาแพงมาใช้ แล้วก็ถามตัวเองว่ามันดียังไง
เลยเปลี่ยนมาใช้เครื่องราคาถูกแทน ด้วยหวังว่าจะเป็นที่ชื่นชมโสมนัสของเหล่าบรรดามี
ว่าสามารถค้นพบสัจจะธรรมของชีวิตแล้ว Low Profile - High Profit จำกันเอาไว้นะโยม ภาษาอังกฤษวันละคำ
เหนือฟ้ายังมีเมฆ เหนือกระดาษคือก้อนซาละเปา โกก็ค้นพบสัจจะของลูกผู้ชายอีกข้อ
ของดีราคาถูกไม่มีในโลก จริงยิ่งกว่าจริงครับลูกพี่ เดี๋ยวจะขายของถูก ไปซื้อของแพงมาใช้อีกที .. เหอ เหอ..

เอางี้ดีกว่า สั้นๆง่ายๆ และได้ใจความ
โกเห็นด้วย 100% กับใครก็ตามที่บอกหลวงพี่ว่าให้ใช้สำนึกเบื้องต้นในการสัมภาษณ์งาน
แต่ขอ+ ความรู้เฉพาะทางเข้าไปด้วยนะครับ .. นิดนึงนะ

โกเคยสัมภาษณ์เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สมัครเข้ามาทำงานแคชเชียร์ห้องอาหารในโรงแรม
ก็ดูๆประวัติเจ้าหล่อน ตามที่เขียนมาให้อ่าน ไม่มีอะไรยุ่งยากมากมาย เคยเป็นงานมาแล้ว 2-3 ปี กำลังดี
แล้วก็ถามเรื่อยเปื่อย เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย จะได้คุยกันง่ายขึ้น
สุดท้ายโกก็ถาม มีแฟนแล้วยัง? ยังไม่มีค่ะ ทำไมเหรอคะ? (ตอนนี้เสียงยังเป็นปกติอยู่)
ปกติตื่นนอนกี่โมง? "ก็เช้าค่ะ บางวันไม่ไปทำงานก็สายหน่อย"
ถ้าไปทำงาน ใช้เวลาอาบน้ำเตรียมตัวนานแค่ไหน - ตอนนี้หัวคิ้วสองข้างเริ่มขยับเข้ามาใกล้กันนิดนึง
แต่ก็ตอบ - ก็ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ
รวมเวลาแต่งหน้าทาปากอะไรด้วยใช่มั้ย - ใช่ค่ะ ถามทำไมเหรอคะ (เสียงสูงนิดนึง คงนึกในใจ มรึงจะถามกรูทำมายยยย)
แล้วขี่รถจากบ้านมาท่าเรือเนี่ยะ ใช้เวลาเท่าไหร่ครับ - ก็ประมาณ 20 - 25 นาทีค่ะ
เมาเรือรึเปล่าครับ - ไม่ค่ะ
คลื่นสูงสองเมตรนะครับ - ไม่เป็นไรค่ะ (งั้นข้อนี้ผ่าน รับเข้าทำงานได้)
จะมาทำงานที่นี่ เรือออกจากท่าตอนเช้าเวลา 07.00 น. คุณใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัว ขี่รถมาทำงานประมาณ 1 ชั่วโมง
คุณก็ต้องตื่นนอน 06.00 น. ซึ่งไม่ทันแน่นอน ประมาณว่าต้องตื่น 05.30 น. ถึงจะพอดี
คุณจะตื่นนอนเวลานี้ทุกวันได้รึเปล่า - ไม่มีปัญหาค่ะ
แล้วถ้าเป็นหน้าฝน คุณจะมาทำงานยังไง คุณจะต้องตื่นกี่โมง คราวนี้อึ้งไปหน่อย แต่ก็มีทางออก
หนูมารถรับส่งพนักงานได้มั้ยคะ - ได้ครับ

คราวนี้ก็ถามต่อเรื่องเวลาเลิกงาน
ถ้าคุณทำงานรอบบ่าย เรือออกจากท่า 13.00 น. ไม่มีปัญหาแน่นอน - ใช่ค่ะ
แต่คุณจะเลิกงานตอน 23.00 น. และเรือออกจากเกาะเวลา 24.00 น. มาถึงฝั่ง 00.45 น.
คุณขี่มอไซค์กลับบ้านคนเดียว ถึงบ้านประมาณตี 1 กว่าๆ ได้มั้ยครับ เจ้าหล่อนอึ้งไปสองอึดใจ
แล้วตอบ - สงสัยคงจะไม่ได้หรอกค่ะ ที่บ้านต้องเป็นห่วง .......
แล้วเจ้าหล่อนก็จางหายไป

หรืออีกกรณี
มีแฟนแล้วนะ แต่งงานกันรึเปล่าครับ - เปล่าค่ะ อยู่ด้วยกันเฉยๆ
จดทะเบียนรึเปล่าครับ - ไม่ได้จดค่ะ
มีลูกรึยังครับ - มีค่ะ ลูกชาย 1 คนค่ะ
อายุเท่าไหร่ครับ - 4 ขวบค่ะ
ใครเลี้ยงล่ะครับ - ให้แม่แฟนเลี้ยงให้ค่ะ (เจ้าหล่อนเริ่มมีเครื่องหมายคำถามที่หน้าผาก มรึงจะถามอะไรกรูนักหนาเนี่ยะ)
4 ขวบยังไม่ไปโรงเรียนเหรอครับ - เปิดเทอมนี้ไปแล้วค่ะ (สุดท้ายเจ้าหล่อนก็ทนไม่ไหว)
ขอโทษนะคะ ทำไมพี่ต้องถามหนูเยอะแยะแบบนี้ละคะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับงานเลยนี่คะ
อ๋อ.. ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของงานจริงๆครับ แต่มันเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงานครับ
คือว่า ถ้าคุณยังไม่มีลูก ผมก็จะถามว่า แล้วคุณกำลังจะมีลูกรึเปล่า คุณท้องผมก็ท้อแท้ ต้องหางานที่เหมาะสมให้คุณทำ
คุณคลอด คุณก็ต้องลาคลอด ลาป่วย หาคนเลี้ยงลูก ลูกงอแง ลูกป่วยสารพัด
เดี๋ยวก็หาคนเลี้ยงลูกไม่ได้ คนเลี้ยงลูกลาพัก คุณก็ลาตามไปอีกคน สารพัดสารเพ ที่ผมต้องคิดเผื่อเอาไว้ก่อนไงครับ
แต่ลูกคุณเข้าโรงเรียน ผมก็สบายใจหน่อย อะไรแบบนี้ไงครับ
อ๋อ...

สมัยทำงานอยู่บนเกาะ คำถามพวกนี้เป็นคำถามพื้นๆ ที่ต้องถามครับนะครับ
เมาเรือป่าว เลิกงานกลับบ้านดึกๆได้ป่าว แต่งงานแล้วยัง ใครเลี้ยงลูก
เรื่องพวกนี้สร้างปัญหาในการทำงานได้ทั้งนั้นครับ แต่คำตอบก็ไม่ใช่บทสรุปของทุกเรื่อง
ไม่ได้แปลว่าถ้าผ่านเรื่องพวกนี้ได้ แล้วจะทำงานดี มันเป็นแค่ด่านแรกเท่านั้น ไหนจะมีเรื่องความรู้ในงานอีกล่ะ

สัมภาษณ์งานก็เหมือนเล่นการพนัน เปิดไพ่มาใบเดียว ที่เหลือเราไม่มีทางรู้ .. แล้วทำไงดี
ทดลองงาน 3 เดือนไงครับ ให้เค้าโม้ไปเถอะว่าเก่งยังไงก็ได้ บางคนถามอะไรตอบได้หมดยังก๊ะอับดุลย์ ถามมาตอบได้
เป็นประเภททฤษฎีแน่นเปรี๊ยะ แต่ปฏิบัติไม่ได้เรื่อง ถึงเวลาก็คือไม่ผ่านทดลองงาน แค่นั้นเอง
แต่ปัญหาคือ ส่วนใหญ่แล้วหัวหน้างานจะเป็นประเภทขี้สงสาร เอาเหอะ แล้วค่อยๆปรับปรุงไป - ฆ่าตัวตายชัดๆ

โกเคยไปสัมภาษณ์เข้าทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าของโรงแรมสัมภาษณ์ด้วยตัวเองเชียว
หยั่งเค้าน่ะ ธรรมดาก็คงไม่อยากมองเราหรอก แต่โกก็ได้งาน เพราะคำถามคำเดียว
ก็ผ่านกระบวนการสัมภาษณ์งานตามธรรมดา เหมือนหลวงพี่ว่าเปี๊ยบ
มรึงท่องมาถาม กรูก็ท่องมาตอบเหมือนกัน โกทำการบ้านมาดีเฟ้ย อ่าน web ของโรงแรมมาหลายเที่ยว รู้หมด
สุดท้ายเค้าก็ถามว่า "อยากถามอะไรผมบ้างมั้ยครับ?" อั้นแน่.. เค้าอยากให้เราสัมภาษ์เค้าเหมือนกันนิ
เพื่อบ่งบอกว่า เราทำการบ้านมาดี เราก็บอกเค้าว่า
"มีเรื่องเดียวครับ เพราะเรื่องของโรงแรมผมเข้าไปดูใน web มาหมดแล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่า โลโก้ของโรงแรม มันหมายความถึงอะไร?"
เจ้าของมองหน้าโกแว้บนึงแล้วอมยิ้ม โกนึกในใจ - เอาแล้วกรู พูดไรผิดวะ

แกลุกจากโต๊ะ ไปหยิบหนังสือมาเล่มนึง พร้อมพูดว่า "ผมสัมภาษณ์งานมาหลายคน มีคุณนี่แหละคนแรกที่ถาม"
แล้วแกก็พูดให้โกฟังอีกครึ่งชั่วโมง เรื่องโลโก้เรื่องเดียวเลย.

เขียนไปเขียนมาโกก็เริ่มงงแล้วนะ
มันเกี่ยวกับ Common Sense ตรงไหนรึเปล่าเนี่ยะ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อยากลืมกลับจำ

ไม่รู้เป็นยังไง ทำไมชีวิตของโกช่วงนี้มันถึงได้วนเวียนอยู่แต่กับไอ้เรื่องสั้นๆ ยาวๆ อยู่นี่แล้ว
เมื่อคืนนอนนึกอยู่ว่า อยากจะเขียนถึงความหมายของเพลงนี้ เช้าขึ้นมาก็มานั่งหาข้อมูลจากเน็ท
ปรากฏว่าสมัยใหม่นี้เค้าเอาไปร้องเป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง “ความจำสั้น แต่รักฉันยาว”
ขับร้องโดย ญารินดา เห็นว่าฮอตฮิตกันพอสมควร ใครได้ดูหนังเรื่องนี้บ้าง ยกมือขึ้น
โกไม่เคยฟังที่คุณคนนี้เค้าร้องหรอกนะครับ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันได้ไปอยู่ในหนัง เพราะไม่ได้ดูหนัง
แต่นึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาเฉยๆ จากความทรงจำที่ไม่สั้นของโกเหมือนกัน เพราะช่วงนี้มีคนเข้ามาโพสท์เรื่องความรักเอย..กันบ่อยๆ
โดยเฉพาะเจ๊ช่อ บ่อยเป็นพิเศษ โกก็เรื่อยเปื่อยตามน้ำไปกับเค้าด้วย เดี๋ยวจะหาว่าโกไม่อินเทรนด์ 555
เวอร์ชั่นที่โกจะพูดถึงนี้ ร้องกันมานานหลายปีแล้วนะ โดย ฐิติมา สุตสุนทร (แหวน)
แต่งคำร้องและทำนองโดย สุรพล โทณวนิก
เนื้อเพลงเค้าว่ายังงี้ครับ

เพลงอยากลืมกลับจำ

บางสิ่งที่อยากจำเรากลับลืม บางสิ่งที่อยากลืมเรากลับจำ
คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ

อดีตที่ผ่านไปไม่กลับมา ช่างเจ็บปวดอุราเรากลับจำ
คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ

ถ้าลืมความหลังได้ ใจจะเปี่ยมสุข ไม่มีความทุกข์ คอยปลุกคอยตาม
คนเรานี้ คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ

ยามอ่านท่องหนังสือเรากลับลืม เรื่องโศกเรื่องเศร้าซึมเรากลับจำ
คนเรานี้คิดให้ดีก็น่าขำ อยากจำกลับลืมอยากลืมกลับจำ
อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ.

โกอยากพูดให้ฟังถึงเพลงนี้เพราะเนื้อหาของมันหรอกนะ
ไม่ได้จะมาพูดถึงเรื่องเพลงนี้มันไพเราะ เพราะไม่เพราะยังไง
สาวๆ หลายคนอาจจะมีความรักความหลังกับแฟน โดนแฟนทิ้งหรือเพิ่งทิ้งแฟนไป
หรือใครอาจจะมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ยังไม่หายโศกเศร้า
ลองพินิจพิจารณาเนื้อหาของเพลงนี้ดูนะครับ “บางเรื่องที่ควรจะลืมเรากลับจำ และทำในสิ่งตรงกันข้าม”

แล้วเมื่อไหร่คุณท่านถึงจะมีความสุขกับเค้าซะทีล่ะครับ
พระท่านว่า “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก กุ๊กกุ๊ก ปลงเสียเถิดแม่จำเนียร”
แปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เหมือนลูกไก่ย่อมไปเกิดเป็นไข่ดาว

อะไรที่เราปล่อยให้มันผ่านเลยไปได้ ก็ปล่อยๆมันไปซะบ้าง
อะไรที่เราวางมันลงได้ ก็วางมันลงซะบ้าง ยึดติดกับทุกข์โศกอยู่ร่ำไป ก็ใช่จะทำให้อะไรดีขึ้น
มีแต่จะทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนล้าโรยแรง
จิตที่เข็มแข็งนำมาซึ่งความแข็งแรงแห่งกายตน ซึ่งจะตามมาด้วยความสงบสุขของชีวิต

“ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และก็เป็นเหตุแห่งความสุขได้ พึงรอบคอบในการใช้ความคิด คิดให้ดี
คิดให้งาม คิดให้ถูก คิดให้ชอบ แล้วชีวิตในชาตินี้ก็จะงดงาม สืบเนื่องไปถึงภพชาติใหม่ได้ด้วย

ความคิดก็เหมือนร่างกาย เหมือนต้นหมากรากไม้ ต้องการความดูแลรักษา
ไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่เติบโตเจริญงอกงาม หรือเติบโตก็อย่างระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบงดงาม
เป็นคนก็ไม่เรียบร้อยไม่เป็นที่เจริญตาเจริญใจ ใครที่ไหนเล่าจะชื่นชมคนเช่นนั้น

ความคิดหรือจิตใจก็เช่นเดียวกัน ต้องให้ปุ๋ยเสมอ คือ ให้ความถูกต้องด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบว่าความดีหรือบุญกุศล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับที่จะประคับประคองชีวิตไปสู่ความถูกต้องดีงามนานา ประการ

อย่าอยู่อย่างประมาท อย่าปล่อยความคิดให้วุ่นวายเปะปะไปเหมือนปล่อยเด็กเล็กๆ ให้เดินโซซัดโซเซไปตามลำพัง ย่อมมีทางหกล้มหกลุกแขนขาหัก หรือหัวร้างข้างแตก หรือถึงพิกลพิการได้ ถึงเป็นถึงตายก็ได้
ความคิดที่ไม่ได้รับความประคับประคองให้ดำเนินไปถูกทำนองคลองธรรม ย่อมมีทางเดินไปสู่ความหายนะได้อย่างแน่นอน”
คัดจาก http://www.dhammajak.net/book-somdej4/10.html

จำนิทานเรื่องพระธุดงค์อุ้มเด็กผู้หญิงข้ามลำธารได้มั้ยครับ
โกเคยหยิบยกมาเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เหมือนกันนั่นแหละ อะไรที่มันผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป
นะโยมนะ
ซ้าธุ

ปล.
ทำไมต้องมี ปล. ด้วยก็ไม่รู้
เป็นเพราะว่ามันต้องอธิบาย โกเขียนมาบรรยายเพ้อเจ้อเฉยๆนะ อย่าเข้าใจผิด
ยกเอาเจ๊ช่อมาอ้างเรื่องโพสท์ มันก็เป็นยังงั้นจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจ๊ช่อ ขออำภัยที่ต้องเอ่ยนามตามท้องเรื่อง

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คุณเรื่องมาก ตอนที่ 2


สืบเนื่องจากข้อเขียนเรื่อง “คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดไม่มากเรื่อง”

วันนี้เรามาวิสัชนากันว่า คนแบบไหนถึงเป็นคนเรื่องมากหรือมากเรื่อง
ประเภท ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ ยังงั้นรึเปล่าครับ
งั้นโกก็คงถูกจัดเข้าไปรวมอยู่ในประเภทคนเรื่องมากได้เหมือนกัน
แต่ใจจริงแล้วโกอยากจัดตัวเองให้เป็นแค่ “คนเลือกมาก” แค่นั้นก็พอครับ จะได้รึเปล่าก็ไม่รู้....

โกเรื่องมาก-เลือกมากยังไง

ยกมาพูดกันเรื่องกินก่อนนะครับ
สมัยก่อนทานส้ม ส้มอะไรโกก็ทานทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นส้มเขียวหวาน ที่มีชื่อเสียงก็ต้องบางมด
อยู่ไปอยู่มา "ส้มโชกุน" มันโผล่ออกมาจากกิ่งต้นลำใยหรือยังไงก็ไม่ทราบ
แหม.. มันออกจะหวานอร่อยซะปานนั้น
มันก็แพงอยู่นะครับ แต่ก็ชอบ ชอบมากถึงมากที่สุด โกก็เลยตั้งหน้าตั้งตารับทานมันแต่ส้มโชกุน
ถ้าเป็นพวกเขียวหวานยี่ห้ออื่นๆนี่ โกไม่มองเลยครับ
อ้อ.. สายน้ำผึ้งนี่ก็ทานนะครับ จัดให้อยู่ในเกรดเดียวกันได้ ไม่อายใคร แล้วเค้าก็มีเชื้อสายมาจากทางเหนือครับ

ตามประวัติที่คัดมา
“ส้มโชกุนเป็นส้มเขียวหวานชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างส้มบางมดกับส้มจีนบิทก้า ซึ่งมีคุณลักษณะผิดแปลกไปจากส้มเขียวหวานทั่วไป มีแหล่งกำเนิดที่จังหวัดยะลา เป็นส้มที่มีรสชาดดี
มีลักษณะเด่นหลายประการคือ 1.ผลใหญ่ 2.ผิวสีเขียวออกเหลือง 3.เปลือกผลสุกมีกลิ่นฉุน(ตอนปอก) 4.สีเนื้อมีสีส้มเข้ม 5.เปลือกล่อนปอกง่าย 6.รสหวานอมเปรี้ยว 7.มีกลิ่นหอม 8.ไม่มีกาก (ชันนิ่ม) แหล่งปลูกส้มโชกุนที่มีคุณภาพดีที่สุดต้องที่ อ.เบตง จ.ยะลา บ้านเกิดของโกเอง เพราะที่นั้นมีลักษณะพิเศษ พื้นที่เป็นที่ราบสูง ภูเขาสลับซับซ้อน ดินร่วน อากาศเย็นสบาย ปริมาณน้ำฝนเพียงพอ (เมื่อก่อนมี จคม. เยอะด้วย)”

ทีนี้มาถึงองุ่น
ก็เหมือนเดิมอีกนั่นแหละครับ เมื่อก่อนองุ่นอะไรก็ทานได้
โตขึ้นมาทำงานได้ มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ก็เริ่มไปทดลองทานไอ้พวกองุ่นนอก เม็ดโตๆ สีม่วงๆ
มีขายเยอะแยะที่หาดใหญ่
อร่อยแฮะ.. อร่อยกว่าองุ่นยี่ห้ออื่นๆ ที่เคยทานมาเยอะเลย ไม่แพงด้วยหนา
แล้วเราจะมามัวเสียเวลา ไปทานไอ้แบบเขียวๆ เปรี้ยวๆ อยู่ทำไม
นี่โกพูดถึงแค่แบบที่ยังมีเมล็ดนะครับ ยังมิพักต้องพูดถึงแบบที่ไม่มีเมล็ด พูดแล้วน้ำยายไหย.. อิอิ
ยกผลไม้มาให้เห็นเป็นตัวอย่างสองชนิดก็พอนะครับ

เขียนมาถึงตรงนี้มีคนมาถามว่า "แล้วพี่ชอบทานฝรั่งมั้ยคะ?"
โกตอบเค้าไปว่า "พี่ไม่ค่อยชอบทานฝรั่งจ้ะ ชอบทานแต่ญี่ปุ่น"
อิอิ.. คนถามบอกว่า "บ้า.." แล้วเดินหนีไปเลย

พูดถึงของคาวบ้างก็ได้

ชอบทานถั่วฝักยาวกันมั้ยครับ เหล่าที่ชอบกินส้มตำต้องชอบแน่ๆเลย
โดยเฉพาะปู่วอน ต้องมีปลาร้าด้วยถึงจะแหล่ม นะปู่นะ แต่โกไม่สู้ด้วยหรอกนะ ปลาร้า ยอมแพ้ครับผม

โกไม่ค่อยชอบทานถั่วฝักยาวครับ แต่ก็พอจะทานได้ แต่ดิบๆนี่เลิกกันเลยนะครับ เหม็นเขียวจะตาย
ต้องผัดก่อนครับ ผัดหมู ผัดไก่ ผักกุ้งได้หมดล่ะครับ แต่ผัดอย่าให้ถั่วสุกนะครับ
สุกมากไปโกก็ไม่กิน เรื่องมากรึเปล่าเนี่ยะ..

มาถึงถั่วงอกบ้าง
เวลากินก๋วยเตี๋ยว โกจะขอถั่วงอกไม่ลวกครับ ก็ถั่วงอกดิบนั่นแหละ
ถ้าใส่แบบลวกมาให้ โกเขี่ยทิ้งหมดครับ กินก๋วยเตี๋ยวต้องถั่วงอกดิบเท่านั้น
ถั่วงอกผัดทานได้มั้ย ทานได้ครับ แต่ต้องผัดแบบใส่ลงไปไฟท่วม ตะหลิวพลิกสองทีแล้วยกขึ้นเลย
ไม่งั้นไม่อร่อยครับ

ผักคะน้า คนอื่นเค้าทานกันแบบยอดผัก
โกชอบทานก้านอ่ะดิ ปอกเปลือกให้เรียบร้อย ขาวๆ อวบๆ แช่น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบกินเล่นเปล่าๆ ยังได้เลย

ข้าวโพดอ่อนนี่ลองทานแบบดิบๆดูบ้างรึยังครับ จิ้มน้ำพริกกะปินี่แหละ ไม่ต้องไปต้มให้เสียเวลาเสียอนาคต
ทั้งหมดทั้งเพที่โกว่ามานี่ เป็นเพราะโกเลือกได้น่ะครับ

เวลาที่เราเลือกได้ เราก็ขอเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ผิดตรงไหนเหรอครับ

เคยไปเดินเลือกซื้อกับข้าวสำเร็จรูปกลับไปกินที่บ้านในซูเปอร์มาเก็ตมั้ยครับ
เดินไปก็แล้ว เดินมาก็แล้ว ไอ้โน่นก็น่ากิน ไอ้นี่ก็น่ากิน จะซื้อมันหมดทุกอย่างก็ใช่ที่
มันควรจะเลือกซื้อซัก 3-4 อย่างก็เท่านั้นก็น่าจะพอ แต่ก็ไม่รู้จะเลือกอะไร
เป็นอาการที่เรียกว่า “รักพี่เสียดายน้อง” ไงครับ
แล้วเราจะรวมๆเรียกไปว่า "เรื่องมาก" ได้รึเปล่าครับ

แล้วเวลาที่เราเลือกไม่ได้ล่ะครับ ทำยังไง
อย่างเวลาไปบ้านเพื่อน แล้วแม่เพื่อนเค้าทำอาหารมาให้กิน หรือไปตกระกำลำบากอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ทำไงล่ะ .. ก็ต้องกินมันให้หมดทุกอย่างนั่นไงครับ
มันลำบากแค่ใส่ปากแล้วก็เคี้ยวๆกลืนลงไป ก็เท่านั้นเอง

คนเรามันต้องรู้จัก กาล-เทศะ ครับ อยู่ที่ไหน เวลาไหน ควรจะทำตัวอย่างไร
ไม่ใช่เคยเป็นแต่คุณหนู นั่งกินข้าวโต๊ะกลม ข้าทาสบริวารเพียบพร้อม
ตั้งสำรับเสร็จแล้วมีคนมาเชิญไปรับทาน
ถ้าเป็นยังงั้นได้ ถึงอีกเวลาหนึ่ง มันต้องลงไปนั่งขัดสมาธิกับพื้นดิน
ล้อมวงกันเปิบข้าวกับมือได้ด้วย ถึงจะแน่ครับ

*****
เพื่อนของโกคนนึงก็แบบนี้แหละครับ ช่างเลือกนัก กินแต่ปลาทะเลไม่กินปลาน้ำจืด
ถามว่ามันต่างกันยังไง เค้าบอกว่าปลาน้ำจืดมันเหม็นคาว ไม่เหมือนปลาทะเล
ได้ความว่าเค้าเป็นคนชุมพร อ๋อ.. มิน่าล่ะ บ้านอยู่ติดทะเลนี่เอง เลยไม่ง้อปลาน้ำจืด
แต่โกก็ไม่วายสงสัยนะ ถามว่าถ้าแค่ปลาน้ำจืดยังว่าเหม็นคาว แล้วอย่างอื่นไม่เห็นบ่น เห็นกินเอา กินเอา...
..
พูดถึงซุปไก่สกัดนะจ๊ะ คิดไปถึงไหนกันก็ไม่รู้

เฮ้ออออออ..

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ตอบคำถามด้วยคำถาม

ไปอ่านเจอข้อเขียนที่เพื่อนเอามาโพสท์ในบ้าน เพื่อนเอามาจากไหนก็ไม่ทราบ เค้าว่ายังงี้ครับ
"2.คำถามเพื่อสร้างความรู้สึกเป็น เจ้าของ
เมื่อพนักงานมีปัญหาและเข้ามาถามเพื่อขอคำตอบ
ทางที่ดีที่สุดคือไม่ใช่การให้คำตอบกับพนักงานเพื่อให้เขาไปแก้ไขหรือ ปฏิบัติ
แต่เป็นการให้พนักงานได้ลองคิดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน
เพราะนั่นจะทำให้พนักงานรู้สึกเป็นเจ้าของวิธีแก้ไข และจะพยายามลงมือปฏิบัติอย่างเต็มความสามารถ
ยกตัวอย่างคำถาม เช่น จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คุณคิดว่าเราน่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี ?"

ขอวิสัชนาข้อนี้ข้อเดียว

คงเคยได้ยินข้อห้ามกันมาบ้างนะครับว่า “อย่าตอบคำถามด้วยคำถาม”
อย่าถามนะครับว่าใครห้าม โกก็ไม่รู้เหมือนกัน

คนเป็นครู เค้าห้ามตอบนักเรียนว่าไม่รู้ เสียฟอร์มครูหมดเลย
เค้าให้ตอบว่า "เอ... เรื่องนี้ครูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ แต่เพื่อความถูกต้อง ครูจะมาตอบพรุ่งนี้แล้วกันนะ"

แต่จากคำแนะนำนี้ เค้ากลับให้เราถามคำถามกลับ แล้วแน่นอนว่าพนักงานต้องเป็นคนตอบ
ตกลงว่า อันไหนมันดี อันไหนมันไม่ดีกันแน่

เมื่อก่อนโกทำงานกับฝาหรั่ง ฝรั่งเป็นเจ้านายใหญ่
โกเคยเดินเข้าไปถามปัญหาเค้าเหมือนกัน ปัญหาเรื่องงานนะครับ ไม่ใช่ปัญหาอะไรเอ่ย?
เค้าฟังคำถามจบ เค้าก็ทำแบบที่คุณคนนี้แกแนะนำแหละครับ เค้าถามกลับมาว่า
"แล้วคุณคิดว่า เราควรจะทำยังไงดีล่ะ?"
ถึงตรงนี้ก็ใบ้รับประทานอ่ะครับ เพราะเราไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ล่วงหน้า
ถ้าจะให้ตอบ ก็ต้องตอบว่า "อ้าว.. ถ้ารู้แล้วตรูจะเดินมาถามเอ็งเรอะ" แต่มันก็ตอบอย่างที่คิดไม่ได้อ่ะนะ เดี๋ยวได้ตกงาน

นายก็เลยสั่งและสอนว่า การเข้ามาถามนายว่าจะให้ทำอะไรยังไง ไม่ใช่เรื่องผิด
แต่อย่ามาถามแบบ "หัวกลวง" คือไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย
ให้เตรียมคำตอบมาด้วย อย่างน้อย 2 คำตอบ และควรจะเป็นคำตอบที่มองหาทางหนีทีไล่มาแล้วเป็นอย่างดี
ถ้านายชอบคำตอบที่ 1 ทุกอย่างจบ นายแฮปปี้ ลูกน้องแฮปปี้
ถ้านายไม่ชอบคำตอบที่ 1 ยังมีคำตอบที่ 2 สำรองอยู่อีก 1 ข้อ
ถ้านายชอบคำตอบที่ 2 ทุกอย่างจบอีกเหมือนกัน นายแฮปปี้ ลูกน้องแฮปปี้

แล้วถ้าเกิดว่า นายไม่ชอบทั้ง 2 คำตอบล่ะ
นายผมบอกว่า ไม่ได้แปลว่าคุณไม่เก่งหรอก นายอาจจะเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้ผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว

ถ้านายออกไปในแนวทางที่ 3 ซึ่งเป็นแนวทางของนายเอง (ซึ่งนายส่วนมากจะออกแนวนี้)
คุณก็ต้องเอาคำตอบนั้้นไปปฏิบัติ แล้วก็ศึกษาเพิ่มเติมเอาเองว่า ทำไมนายคิดแบบนั้น
เพื่อว่าในอนาคต คุณจะรู้ทางนาย (หรือจะใช้คำว่าเดาทางถูกก็ได้ // แต่โกไม่ชอบเดา)

ดูกรกุมารา ดูรากุมารี..
การดังที่กล่าวมา จะต้องมีการส่งเสริมทักษะในกระบวนการคิดให้กับลูกน้องก่อน
สอนให้เค้ารู้จักคิด และเราต้องนับถือความคิดของเขา
ถ้าดี ก็บอกว่าดี
ถ้าไม่ดี ก็ต้องบอกว่ามันไม่ดีตรงไหน เพราะอะไรถึงไม่ดี
สอนยังไงก็แล้วแต่ถนัดของแต่ละคน ประโยคที่ว่า "หัดคิดเองมั่งสิวะ" ก็พูดๆบ้างก็ได้ครับ
แล้วแต่ว่าจะสนิทกันขนาดไหน
ไม่ใช่อะไรก็พูดไม่ได้เอาเลย ทำเป็นฝึกทหารสมัยใหม่ไปได้
สอนให้เค้าคิดเป็นก่อน แล้วค่อยตอบคำถามด้วยคำถามนะครับ

โก

คนเรื่องมาก ตอนที่ 1 25-1-53


ปกติโกเป็นคนที่อ่านข้อเขียนของคุณวินทร์ เลียววารินทร์อยู่บ่อยๆนะ ไม่ได้ติดตาม แต่อ่านเมื่อมีโอกาส และบ่อยครั้งก็มักจะคล้อยตาม จนมาได้อ่านเรื่องนี้แหละ
(คำว่า "ประจวบเหมาะ" นี่ นอกจากจะใช้เป็นนามสกุลได้แล้ว ยังใช้ประกอบเรื่องอื่นได้เรื่อยๆนะ)

เรื่องนี้ไม่เห็นด้วยกับผู้เขียนที่ว่า "คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง"
อาการเรื่องมากนี่ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉลาดหรือเก่งตรงไหน

พูดเรื่องเวลาก่อนก็ได้
เมื่อก่อนมีสำนวนไทยว่า "มาไทย ไปฝรั่ง" หมายถึงว่า เวลามาทำงานก็มาแบบไทยๆ
คือเอ้อระเหย ลอยชาย มาสายประจำ
แต่เวลาเลิกงาน ดันแปลงร่างเป็นฝรั่งไปเสียได้ กลับตรงเวลาเป๊ะ
ถามว่าฝรั่งมันเลิกงานตรงเวลากันหมดทุกคน ทั้งประเทศรึเปล่า ก็ไม่ใช่
โกเองก็ทำงานเมืองนอกมาเหมียนกันนะยะ ไม่นับที่ทำงานกับฝรั่งมาก็เยอะ
คนเอเซียชาติอื่นก็แยะ มันก็ทำงานเกินเวลากันทั้งนั้นแหละ

แต่สาเหตุอาจจะไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะไม่เหมือนกับคนไทยที่ทำงานเกินเวลาเอาหน้าเป็นหลัก
ไม่ได้หมายถึงทุกคนนะจ๊ะ ทุกอย่างในโลกนี้ มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น

ถามว่าการทำงานเกินเวลาดีมั้ย มันก็มีทั้งดีและไม่ดี
ทำไมในเวลาไม่ทำให้เรียบร้อย โอยยยย... อุปสรรคที่มองไม่เห็นมีเยอะแยะไป – แล้วแต่จะยกเอามาอ้าง
ใครบ้างไม่อยากกลับบ้านตรงเวลา ลูก เมีย สามี วงเหล้า รออยู่เป็นแถว
แต่การอยู่ทำงานจนเสร็จ บางครั้งมันก็มาจากสิ่งที่เราเรียกว่า "ความรับผิดชอบ" จำได้ว่า
เคยวิสัชนาไปครั้งหนึ่งแล้วว่า ขนเอางานกลับไปทำที่บ้าน ดีหรือไม่ดีอย่างไร คงจำกันได้

สมัยหนุ่มทำงานอยู่ใน Production House ก็เป็นแบบนี้ เป็นมันทั้งบริษัทตั้งกะเจ้านายยันลูกน้อง
คือมีงานเข้ามา กรูก็ตุ้งเหน่งๆ ไปเรื่อยๆ จนใกล้จะถึง Dead Line
ตอนนั้นค่อยมาปั่นงานกันหามรุ่งหามค่ำ แบบไฟลนก้น
อดหลับอดนอนกัน 4-5 คืน พองานเสร็จก็ปิดบริษัทนอนเลย เป็นยังงี้ทุกงาน
ถามว่าดีมั้ย ไม่ดีหรอก เสียสุขภาพ แต่มันเป็นวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทนี้เค้า

เรื่องเวลามันก็เป็นเช่นนี้แล....

มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดิน....
อีตาเลียว แกรู้ได้ยังไงว่าเค้าฟันกันฉับเดียว เกิดทันเค้าฟันกันเหรอ ของยังงี้มันนานาจิตตังค์ครับท่าน
อ่านโกวเล้งมากไปรึเปล่า ชั้นก็อ่านย่ะหล่อน
มังกรหยก ฤทธิ์มีดสั้น ศึกสายเลือด สามเรื่องนี้ คนอ่านหนังสือจีนไม่ได้อ่าน ขอตราหน้าว่าข้าวเหนียว
กระบี่ในโลกนี้มีตั้งหลายแบบ มีดก็เรียก ดาบก็มี กระบี่ก็มา ของฝรั่งเองก็มีหลายแบบ เอเป้ ฟอยย์
ญี่ปุ่นเราเรียกซามูไร ความจริงมันหมายถึงคน เพราะอีดาบนั่นคนญี่ปุ่นเค้าเรียก "คาตานะ" นะจ๊ะ

ดาบไทยกับดาบญี่ปุ่นใช้ฟันเป็นหลัก ดาบฝรั่งใช้แทงเป็นหลัก อันนี้โกว่าเองนะ
อ้อๆๆๆ ดาบฝรั่งนี่โกหมายถึงฝรั่งสมัยยุโรปตอนกลางนะจ๊ะ ไม่ได้ย้อนไปไกลสมัยโรมัน
สมัยนั้นมันก็อีกแบบนึง พวกนั้นใช้ฟันเหมือนกัน ดาบไทยกับดาบโรมันใช้ฟัน คือไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแน่นอน เพราะดาบจะหนาและหนัก โดนดาบพวกนี้ฟันเข้าไป จะได้แผลประเภทที่เรียกว่า "แผลเหวอะหวะ"
อันนี้ศัพท์เฉพาะเชียวนา Safety เห็นด้วยมั้ย

ส่วนดาบญี่ปุ่นนั่น สยองว่ะ เพราะมันคมขนาดนั้นแหละ แล้วก็จะได้แผลชนิดที่เรียกว่าสวยงาม อิอิ
แผลแบบนี้เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ จำไม่ได้ พี่เต้ยช่วยน้องหน่อย

แถมให้อีกนิด เคยได้ยินมั้ยที่เค้าพูดว่า "ไทยเล็ก เจ๊กดำ คบไม่ได้"
มันหมายถึง คนไทยตัวเล็ก คนจีนตัวดำ คบไม่ได้
มีที่ไหนกันคนจีนตัวดำ คนจีนมันต้องขาวสิ แสดงว่าคนจีนตัวดำนี่มันผ่าเหล่า คบไม่ได้
คนไทยตัวเล็กก็คบไม่ได้ แสดงว่าคนไทยต้องตัวใหญ่ จริงเหรอ..
จริงครับ คนไทยสมัยก่อนความสูงเฉลี่ยเกิน 170 อาจจะถึง 180 ด้วยซ้ำไป
ใครไม่เชื่อไปพิสูจน์ได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติได้ครับ
ไปดูว่าอาวุธไทยสมัยก่อนมันยาวและใหญ่โตขนาดไหน คนตัวเล็กๆ แบบโก ถือไม่ได้หรอก
(เศร้าว่ะ เพราะเราตัวเล็ก จะคบได้มั้ยเนี่ยะ)

ทีนี้มาพูดเรื่อง "เรื่องมาก"
โกขอบอกว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกับเก่งไม่เก่ง หรือโง่ฉลาดตรงไหน ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครดีอ่ะ
จะยกตัวอย่างเรื่องตัวเอง เดี๋ยวก็จะกลายเป็นยกหางว่าตัวเองเก่งหรือฉลาด
ซึ่งก็ไม่ใช่ มันเป็นบุคคลิกภาพของแต่ละบุคคลมากกว่า
คนเก่งที่เรื่องมากก็มีมากมายถมไป
โกก็เป็นคนเรื่องมาก
อย่ามาบอกนะว่า ก็เพราะโกไม่เก่งจริง ไม่ฉลาดจริงน่ะสิ โกถึงเป็นคนเรื่องมาก โกไม่ได้เป็นข้อยกเว้นไง
คือสามารถรวมโกเข้าไปอยู่ในประเภทไม่เก่งจริง ไม่ฉลาดจริงก็ได้ แต่โกก็ไม่เชื่อว่าคนฉลาดกับคนเก่ง จะไม่เรื่องมาก
ยังไงดีหว่า..

เรียนหนังสือมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โกก็เกือบตกมาตลอดนะ ตั้งกะอนุบาลยันมหาลัยนั่นแหละ
แต่โกก็เอาดีมาได้แหละนะ เรียนเก่งไปมันก็เท่านั้นแหละ ออกมาเป็นลูกน้องเขาเยอะแยะไป
เก่งยังไงก็สู้ "เฮง" ไม่ได้ว่ะ
โก
จบด้วนๆ อีกแหละ

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลงรอยไถแปร 24-1-53

บทเพลงสมัยก่อน เวลาที่เค้าจะบรรยายความรู้สึกเศร้าสร้อย ห้อยโหยหวล
มันไม่เหมือนกับที่คนเขียนเพลงสมัยนี้เขียนนะ มันทื่อๆ ยังไงก็ไม่รู้ แทบจะไม่มีสัมผัส จะในจะนอกก็ไม่มี
ถ้อยคำที่ใช้ก็.. ปานนั้น ช่างไม่มีความสละสลวยเอาซะเลย
ลองอ่านเพลงข่างล่างนี้ดู แล้วคิดกันว่าเค้าบอกอะไรเราบ้าง

ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไถแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวเหน็บติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน ...

ทุ่งนาแดนนี้ข้าเคยไถทำ สองมือข้าเคยหว่านดำ ฤดูฝนพร่ำหน้าก่อน
แต่มาปีนี้ ฤดีข้าแสนจะสะท้อน เพราะมาไร้คู่กอดเคียงหมอน ทิ้งให้เรานอนระกำ

...รอยไถเอย ข้าเคยไถถาก เดี๋ยวนี้เจ้ามาคิดจาก ฝากให้เป็นรอยไถช้ำ
เปลี่ยนรอยไถใหม่ ทิ้งรอยไถเก่าระกำ อกใครใครบ้างไม่ช้ำ เมื่อยามเห็นรอยไถแปร

...ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจ แล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ จะไถไปอีกก็กลัวแพ้ เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย

เพลงนี้ชื่อเพลง "รอยไถแปร"
แต่งโดยสุรพล สมบัติเจริญ ขับร้องโดยก้าน แก้วสุพรรณ
เมื่อ 18 ต.ค. 2537 เพลงรอยไถแปร ได้รับการคัดเลือกเป็นเพลงลูกทุ่งดีเด่นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย

สุรพล สมบัติเจริญ (เดิมชื่อลำดวน) เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2473 เป็นคนสุพรรณบุรีโดยกำเนิด
เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งเจ้าของเพลงดัง "16 ปีแห่งความหลัง" ถูกยิงเสียชีวิต หลังจากการแสดงบนเวทีที่จังหวัดนครปฐม เสียชีวิต เมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2511 เมื่ออายุเพียง 37 ปี

แต่.. เค้าว่ากันว่า เพลงนี้มันมีความหมายมากมายกว่าที่เราเห็น
นอกจากจะเป็นการตัดพ้อที่สาวทิ้งไปมีชายอื่นแล้ว มันยังมีนัยยะแฝงไปในทางพิศวาสบาดจิตอีกด้วย
แหม.. โกก็ไม่อยากจะใช้คำอะไรให้มันแสลงใจ คนแต่งเค้าอาจจะไม่ได้คิดยังงั้น
ไอ้คนข้างหลังมันมาคิดมากเกินไปเอาเองก็เป็นได้

ไม่มีอะไรมาก ฟังเค้ามาก็เอามาเล่าสู่กันฟัง
วันนี้วันอาทิตย์ ไม่มีไรทำ