หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

"..ก็แค่สงสัย ทำไมไม่รักในหลวง?"



โกเห็นรูปนี้จาก facebook ที่น้องคนหนึ่งเขียนข้อความส่งเข้ามา
เห็นรูปแล้วโกรู้สึกหลายอย่างพร้อมๆกัน

อย่างหนึ่งแน่ๆ ก็คือประทับใจกับข้อความที่คุณลุงเขียนใส่กระดาษไว้นั่น ประทับใจมากๆๆ แบบว่ามากถึงมากที่สุด
คำถามง่ายๆ ซื่อๆ ไม่ยอกย้อนซ่อนเงื่อน อาจจะเป็นคำถามที่คุณลุงไม่ได้ต้องการคำตอบ
แต่เป็นคำถาม ที่ถามเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นเก็บเอาไปตอบแก่หัวใจของตนเอง
คิดว่าใครๆหลายคนที่ได้เห็นรูปนี้แล้ว คงเห็นด้วยกับคุณลุงว่า "นั่นน่ะสินะ ทำไมล่ะครับ"

คนไทยเราส่วนใหญ่เกิดมาก็ถูกอบรมสั่งสอนให้รักและเทอดทูนในหลวง
คนที่อยากรู้อยากทราบว่าทำไมต้องรัก ต้องเคารพเทอดทูน
ก็ไปสืบเสาะค้นคว้าหามาว่าเพราะอะไร ทำไมโคตรเง่าศักราชของเราถึงรักในหลวง
เมื่อรู้แล้ว ต่างก็หมดความกังขา

คนบางคน ก็คนแบบโกนี่แหละ คนแบบที่หูไม่บอด ใจไม่ได้มืดมิด
ก็สามารถที่จะรับรู้ได้ด้วยข่าวสารตามธรรมดาว่า
พระองค์ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายแสนสาหัส
เพื่อทำอะไรให้กับผู้คนในประเทศนี้บ้าง

โกอยากจะบอกว่า แม้นเป็นเดียรัจฉาน ที่กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ก็ย่อมแสดงว่าชาติที่แล้ว เดียรัจฉานเหล่านั้นได้สั่งสมความดีมามากมาย จึงกลายมาเป็นคน
แต่ทำไมคนหลายๆคนเหล่านั้น มันไม่ทิ้งวิญญาณหรือสันดานเดิมเล่า
จะแห่แหนกล่าวหาว่าเดียรัจฉานซะทั้งหมดก็คงไม่ได้นะครับ
สัตว์หน้าขนยังรักลูก รักครอบครัว รู้จักกตัญญูบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของคนที่ฟูมฟักมันมา

แต่ไอ้และอีทั้งหลายที่ร่ำร้อง อยากจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเล่า
โกคิดว่า หากมันต้องเกิดใหม่ในภพหน้า
ก็คงไม่แคล้วจะกลับไปเกิดเป็นเดียรัจฉานเหมือนเดิม

อีกอย่างที่โกอยากจะบอกก็คือ ด้วยอายุอานามขนาดนี้ หน้าตาแบบนี้
คุณลุงคนนี้ คงจะไม่มีปัญญาหรือเรี่ยวแรงไปไล่ยิงไล่ฟันหัวใคร
แต่วันนี้คุณลุงก็ออกมา รวมกับกลุ่มผู้คนทั้งหลายที่นัดๆกันมาจาก facebook
คุณลุงมาเพื่อถามคำถามคำเดียวเท่านั้น
"..ก็แค่สงสัย ทำไมไม่รักในหลวง?"

ขอบพระคุณ คุณลุงในภาพนี้มากๆ นะครับ ที่ถามคำถามนี้แทนพวกเราหลายๆคน
และไม่ว่าคุณลุงจะเป็นใคร ผมรักคุณลุงครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

พนักงานกับหัวหน้างาน

ความเดิมมีอยู่ว่า มีน้องสาวคนนึงในก๊วนของโกเขียนจดหมายเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจจากการทำงาน
----------
ขอระบายหน่อยนะคับพี่ๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากว่าเมื่อวานนี้ นู๋ส่งเมล์หาหัวหน้างานแผนก wh ให้ช่วยดูแลพนง. เรื่องออกไปข้างนอกก่อนเวลาพัก
ซึ่งปัญหานี้มีมานานมาก เคยคุยกับหัวหน้างานระดับ sup. ก็ไม่จัดการอะไร
จนเมื่อวาน เลยส่งเมล์หาระดับ Sup, Asst., และ Mgr. อีกครั้ง แล้ววันนี้หัวหน้าระดับ Asst. มันก็โทรไปด่าระดับ Sup. ว่าทำไมไม่ดู ยังงั้นยังงี้ ให้คนระดับ Staff ส่งเมล์มาด่าพวก Mgr. ทั้งหลายได้ยังไง
บอกแล้วใช่ไม๊ว่าอย่าไปไว้ใจ เพราะเค้าเป็น Hr. ถ้าเค้าคิดว่าเรื่องออกก่อนเวลาเป็นเรื่องสำคัญ (มันก็ต้องสำคัญสิ พูดแปลกๆ)
เราก็ต้องห้ามไม่ให้พนง. เราออกไป อย่าให้เค้ามาว่าได้ ประมาณนี้แหละ

แต่การที่หนูส่งเมล์ไป ไม่ได้ต้องการให้เค้าไปด่าลูกน้องอย่างนั้น มันต้องหาวิธีที่มันดีกว่านี้สิ แล้วไม่ใช่ว่ามาดูถูกเราซะงั้น
แถมมาล็อบบี้อีกว่าไม่ให้เด็กมาไว้ใจเรา (แอดเจอร์ คนนี้ก็ไม่มีใครจะชอบมันหรอกนะ)
แต่คือเราแคร์พวก WH มากกว่า เพราะจริงๆ แล้ว เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เค้าเดือดร้อน โดนด่าอ่ะ เลยเซ็งๆ
แล้วก็โมโหที่มันมาดูถูกเราว่าเป็นแค่ Staff นี่แหละ
อยากจะเอาตำแหน่งฟาดหัวมันจริงๆ เลย
ระบายแล้ว ดีขึ้นแหละ ขอบคุณคับ
หนูเอง
----------

หนูเอ้ย .. ใครจะคิดยังไงก็ไม่รู้นะ แต่รับรองว่าโกคิดไม่เหมือนใคร ไม่ใช่เพราะโกเป็นคนชอบคิดตามขวางนะ
แต่ มันเป็นมุมมองส่วนตัว
โกแยกมาตอบจดหมายของหนู เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับความคิดเห็นของพี่ๆ คนอื่นๆ ในบ้านเรา
แล้วพี่ๆคนอื่นๆ ด้วยความเคารพนะครับ โกเคารพความคิดเห็นของทุกท่าน
เพียงแต่โกมีแนวคิดที่แตกต่างออกไป ข้อเขียนของโกอาจจะรุกล้ำไปบ้าง โกไม่มีเจตนาร้ายนะครับ
ขอโทษไว้ก่อนเลย 555
แล้วก็.. ที่เขียนมานี่ ไม่ได้ต้องการจะว่าอะไรหนูนะ ยังรักเหมือนเดิม อิอิ แค่จะอธิบายกับหนูว่า "ทำไมเรื่องถึงเป็นอย่างนั้น"

ที่เกิดเรื่องอย่างนั้นเพราะว่า หนูเป็นคนเขียนเมล์ไปหาใครต่อใครด้วยตัวเองไงครับ
คำถามของโกคือ ทำไมถึงไม่เป็น HR Manager หรือใครก็ได้ที่เป็นหัวหน้า จะเรียกอะไรก็ตามแต่ ที่จะเป็นคนส่งเมล์ฉบับนั้นออกไป

แล้วมันต่างกันตรงไหน?

ต่างกันเยอะเลยครับ เพราะคนที่รับเมล์เค้าเป็นคนมี "ระดับ" แบบที่หนูว่าทั้งนั้นเลย ตั้งแต่ซุป ไปยันเอา ผจก.โน่นเลย กี่คนก็ไม่รู้ คนพวกนี้จะรักหัวโขนของเค้ายิ่งชีพหรือไม่ก็ตาม แต่เขาก็มีหัวโขนของเขาอยู่นะ
เขาจะดี จะเลว จะร้าย จะไม่มีใครชอบ ยังไงก็ตาม แต่เราก็ต้องให้เกียรติกับยศฐาบรรดาศักดิ์ที่เขาถือครองอยู่ ใช่หรือไม่?
อันนี้ฝ่ายบุคคลตอบค่อยๆก็ได้นะครับ เพราะเราต้องเป็นคนสอนให้พนักงานให้เกียรติและเคารพหัวหน้างาน เนอะ..
ระบบ Seniority ไม่ใช่ระบบศักดินา เอ.. หรือว่าใช่ แต่มันก็ทำให้มีการปกครองลดหลั่นกันลงไป
ถ้าทำงานแล้วไม่ต้องมีตำแหน่ง ทุกคนเท่ากันหมด จะเกิดอะไรขึ้นหนอ?

โอเช การแสดงความคิดเห็นสามารถกระทำได้ ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็นได้เท่าเทียมกัน
จริงเหรอ?
เมื่อไหร่? หรือตอนไหนครับ? เมื่อนายถามใช่ป่าว หรือเมื่ออยู่ในที่ประชุมใช่ป่าว
อยู่ดีๆ เราเที่ยวได้เดินไปเสนอความเห็นให้คนโน้นคนนี้ได้ป่าวครับ เค้าจะได้หาว่าเราบ้าไง
หรืออยู่ดีๆ ไม่ดูลมฟ้าอากาศเที่ยวได้เดินเข้าไปแนะนำนายให้ทำโน่นทำนี่ .. ไม่เหมาะมั้ง

เหมือนอย่างในที่ทำงานของโกก็เหมือนกัน โกยังไม่สามารถเดินไป comment หัวหน้าแผนกทุกๆคนได้เลย
ทำได้เฉพาะที่สนิทๆกันเท่านั้นแหละ นอกนั้นก็ต้องเบาๆหน่อย อ้อมไปอ้อมมา หรือคอยเอาไปบอกในที่ประชุม
เวลาโกจะออกหนังสือสั่งการอะไรออกไป ก็ต้องเอาไปให้เจ้านายลงยันต์อีกชั้นหนึ่งก่อน
วิธีการแบบนี้ทำแล้วสบายตัว ใครจะด่าก็ไม่ได้เพราะเจ้านายลงชื่อรับรองเหมือนเจ้านายสั่งเอง

โกไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นในความเป็นแค่ Staff ของหนูนะครับ คนเราตำแหน่งไม่เท่ากัน ความรับผิดชอบก็ไม่เท่ากันด้วย
หากแต่การจะเป็นคนที่สามารถทำให้ผู้คนยอมรับนับถือ มันยาก
ไม่ใช่สักแต่ว่ามีหัวโขนครอบอยู่อันนึง แล้วคนอื่นก็ต้องให้ความเคารพ
ก็ใช่หรอกนะ แต่เราให้ความเคารพต่อหัวโขนนั้น ไม่ใช่คนที่ใส่มันอยู่
เหมือนทหาร บั้งเล็กๆก็ต้องตะเบ๊ะบั้งใหญ่ๆ แค่นั้นเอง
แต่ถ้าผู้คนเค้าให้ความเคารพตัวเรา มากกว่าหัวโขนที่เราสวมอยู่สิ.. อันนี้ค่อยน่าอภิรมณ์หน่อย
เป็นปลื้มเลยแหละ

ไม่อยากจะบอกเลยว่าหนูทำผิด แต่มันก็เป็นแค่ผิดวิธีเท่านั้นเอง
ที่ถูกแล้ว หนูน่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้างานของหนู แล้วให้หัวหน้าเขียนเมล์ฉบับนั้นส่งไปให้เค้า
ผลที่ตามมามีหลายแนวให้คิด
1. หัวหน้าอาจจะไม่ทำตามข้อเสนอของหนูก็ได้ อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อันนี้ค่อยมาวิพากษ์หัวหน้ากันอีกรอบ
2. ถ้าหัวหน้าส่งให้ หนูก็สบายตัวไม่ต้องมีเรื่องกลุ้มใจมากกว่าเท่าที่มีอยู่แล้ว แล้วเขาก็จะมองหนูในความรู้สึกทางบวกอีกด้วย

โกขอย้ำว่ารักหนูเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หนูอยากระบาย โกก็อยากอธิบาย
แค่นั้นเอง..
นะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

หนูๆ ตั้งใจเรียนหนังสือกันนะจ๊ะ

“เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา จะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา ไม่ใช่เราบังคับได้ สุดแล้วแต่วิญญาณของเขาปรารถนาจะเป็นอะไร
อย่างเราดูดวงดาวเราก็คงไม่หวังปราถนาเอามาทำหัวแหวนของเรา เราให้อิสระเต็มที่ เหมือนเรารักนก เราไม่เอามาใส่กรง
เราให้ขอบฟ้าเขา เราให้อากาศเขา เราให้ดวงดาวเขา จะเป็นอะไรก็สุดแต่ใจเขาจะเป็น"
อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ.

โกได้อ่านบทให้สัมภาษณ์ของท่าน อ.อังคาร ประจวบกับที่เพื่อนๆ หลายคนเข้ามาบ่นๆแบบเล่าสู่กันฟังเรื่องลูกเล็ก
โกว่ามันเหมือนเป็นเวรเป็นกรรมของคนเป็นพ่อแม่อย่างนึงนะครับ ผู้คนมีครอบครัว มีลูก พอลูกโตก็ต้องขวนขวายวิ่งโร่หาโรงเรียนให้ลูก ได้มั่งไม่ได้มั่ง ดูข่าวทีวีที่เขาไปจับฉลากกัน ไอ้ที่กระโดดโลดเต้นดีอกดีใจ เห็นแล้วก็ดีใจไปกับเค้าด้วย แต่ที่กอดกันกลมร้องห่มร้องไห้ ดูแล้วมันช่างน่าสงสารเด็กไทย..

หลุดพ้นช่วงเด็กเล็กมาก็มาถึงช่วงวัยรุ่น ทีนี้แหละพ่อแม่ทั้งหลายเอ๋ย.. ทำไงดีเว้ยยยยย ปล่อยก็ไม่ได้ ขังก็ไม่ดี แต่อย่ามาถามโกนะจ๊ะ เพราะโกก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยเห็นแต่ลูกคนอื่น โกมีลูกกับเค้าที่ไหนล่ะ
โกเห็นวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่มาแล้วมากมายหลายครอบครัว ดีบ้างไม่ดีบ้าง ได้ดีบ้าง ได้ไม่ดีบ้าง โกไม่กล้าบอกหริกครับว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิด คนที่ออกมาสอนคนอื่นอยู่ปาวๆ ว่าต้องเลี้ยงลูกยังงั้นยังงี้ ลองหันกลับไปดูลูกของตัวเองก่อนเป็นไรเล่า.

พ่อแม่หลายๆคน มักจะตั้งความหวังเอาไว้ว่าลูกๆ จะเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อแม่
พ่อเป็นทหารก็อยากให้ลูกเป็นทหาร เป็นหมอ เป็นตำรวจ เหมือนๆกัน โดยลืมถามไปว่าคุณลูกเค้าอยากเป็นอะไร ตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต ก็พยายามเฝ้าทนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จนสุดท้ายลูกก็กลายเป็นลูกแหง่ ทำอะไรไม่เป็น จะสอบเข้าก็ต้องให้พ่อซื้อข้อสอบให้....
ว้ายยยยย... ไปไหนเนี่ยะ

เจ้านายเคยเล่าให้ฟังว่ามีลูกของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เรียนหนังสือดีมาก จบปริญญาตรีเมืองไทย จบปริญญาโทเมืองนอก เรียนจบกลับมาอยู่บ้าน ถามพ่อว่าเรียนจบแค่นี้พอแล้วยังคะ พ่อตอบว่าถ้าลูกคิดว่าพอ ก็พอแล้วลูก คุณลูกก็เลยบอกพ่อว่าถ้ายังงั้นหนูไม่เรียนต่อแล้วนะคะ แล้วก็ขออนุญาตทำงานอย่างที่หนูอยากทำนะคะ คุณพ่อหลงกลตอบว่าได้เลยลูก คุณลูกสาวเลยไปเปิดร้ายเบเกอรี่สบายใจเฉิบ
โกถามเจ้านายว่าแล้วเค้าจะเรียนไปทำไมละนั่น ทำไมไม่ไปเรียนทำขนมให้มันรู้แล้วรู้แร่ดไปเลย
นายตอบว่าเรียนเอาใจพ่อแม่ไง เพราะพ่อแม่อยากให้เรียนสูงๆ
แบบนี้ก็มี.. เสียดายเวลาและเงินทองที่เสียไปเนอะ

น้องสาวอีกคนมานั่งร้องห่มร้องไห้ โกก็ซื้อเหล้ามาให้กินปลอบใจ โกกินด้วย 3 แก้ว แล้วไปนอน
ตื่นมาอีกทีตอนตี 2 น้องสาวยังเศร้าไม่เลิกเลยอ่ะ อิอิ
เรื่องคือน้องกำลังจะจบปริญญาตรีจาก ม.กรุงเทพ ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แถมมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ชัวร์ๆ คุณแม่โทรมาจากเมกา บอกว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรียนจบปุ๊บเดินทางมาได้เลยปั๊บ
ครือว่า คุณแม่จะให้ลูกสาวไปเรียนต่อโทที่โน่นน่ะครับ เค้ามีร้านอาหารไทยอยู่ที่นั่นด้วย คุณลูกสาวต่อรองว่าขอไปหลังปีใหม่ได้ป่าว คุณแม่(ตอนนี้ยัง)ไม่ยอม ลูกสาวเลยเศร้าจายยย..
โกฟังเรื่องเศร้าของน้องเค้าแล้วก็เลยต้องซื้อเหล้ามาปลอบใจอย่างที่บอก เพราะโกรู้สึกเศร้ากว่าเมื่ื่อน้องเค้าถามโกว่า ที่พ่อแม่จัดการให้น่ะมันดีที่สุดแล้วจริงๆเหรอ

คุณลูกทั้งหลายครับ ไอ้ที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้น่ะ มันอาจจะไม่ถูกใจเราไปซะทุกอย่างหรอกนะครับ
แต่โกเชื่อว่ามันอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความห่วงใยนะครับ


คุณลูกทั้งหลายโชคดีแค่ไหนแล้ว ที่เกิดมามีพ่อแม่ที่สามารถเตรียมอะไรๆ หลายๆ เอาไว้ให้เราได้ ลองมองไปรอบๆตัวเรา ณ เวลานี้สิครับ มีผู้คนอีกมากมายแค่ไหน ที่เค้ามีน้อยกว่าเรา หรือแทบไม่มีเลย
อยากจะเรียนใจจะขาดแต่พ่อแม่ไม่มีปัญญาส่งให้เรียน หรือต้องเสียสละให้พี่ ให้น้องเรียนแทน
เรียนๆ กันเข้าไปเถอะครับ จะเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน ขอให้เราตั้งใจเรียน ขอให้เราประพฤติปฏิบัติดี
จบออกมาแล้วก็หางานทำ เป็นคนดีของครอบครัว เป็นคนดีของสังคม อย่าให้ใครมาตราหน้าว่าชาติหมา ตั้งแต่ยังไม่ตายนะครับ บ้านเมืองจะได้ร่มเย็นเป็นสุข

แต่อย่าเชื่อโกมากนะครับ บอกแล้วว่าโกไม่มีลูก.

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

มืออาชีพ

เมื่อเช้ามีจดหมายเขียน เข้ามาในบ้านเพื่อขอความเห็นว่า
หลักสูตรอบรม "นักบริหารบุคคลมืออาชีพ" ค่าอบรมหัวละเกือบ 4 หมื่นบาท
อบรม 3 เดือน จะมีความรู้เท่ากับทำงานมาแล้วหลายๆปี
มันจะสามารถเป็นไปตามที่เขาประกาศได้หรือไม่ อย่างไร?

เรื่องการจะเป็นมืออาชีพ โกคิดแบบนี้นะครับ

สมัยก่อนโน้นนนน นานมาแล้ว โกเคยถูกรับเชิญไปพูดจาปราศัยให้เด็กมหา'ลัย วิทยาเขตภูเก็ตฟัง
เรื่องชีวิตการทำงานในโรงแรม ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งถึงเวลาทานข้าว
เจ้าภาพจับแยกโต๊ะให้ Guest speaker 1 คน นั่งทานข้าวกับเด็ก 8-9 คน
วัตถุประสงค์เพื่อจะได้ถามตอบปัญหาเรื่องที่เด็กอยากรู้แบบล้วงลึก ถึงลูกถึงคน
โกสนองนโยบายแบบไม่มีอิดออด ..... อิอิ ชอบๆ

ถามเด็กๆ ว่าจบออกไปแล้วจะทำงานอะไร หรือจะทำงานโรงแรมอย่างที่ได้เรียนกันมา
คนโน้นก็จะทำไอ้นั่น คนนั้นก็จะทำไอ้นี่ ต่างคนต่างคิด ไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่แปลกคืิอมีคนนึงตอบว่า "ผมตั้งใจว่าจะออกไปเป็น junior management ในโรงแรม"
โกก็บอกว่า "อาจจะลำบากหน่อยนะ เพราะเราเพิ่งจบออกไป ยังไม่มีประสบการณ์ จะไปเป็นผู้บริหารเลยเชียวเหรอ?"
เด็กเถียงว่า "ผมเรียนจบมหาลัยแล้ว ฝึกงานที่โรงแรมของมหาลัยมา 2 ปี ผมคิดว่าผมมีประสบการณ์เพียงพอ อาจารย์ก็บอกยังงั้น"

โกก็บอกว่า "ออกไปทำงานจริงๆ ข้างนอก มันไม่เหมือนฝึกงานนะ คนที่รับเชิญมาพูดเค้าก็พูดแนวนี้ทุกคน ก็ได้ยินไม่ใช่หรือ?
มันก็เถียงๆๆๆๆๆๆ สุดท้ายโกก็เลยบอกว่า "ลืมถามไป.. มีพ่อเป็นเจ้าของโรงแรมรึเปล่า? ถ้าใช่ ก็ไม่มีปัญหาหรอกนะ.."
เด็กมันเอาไปฟ้องอาจารย์ อาจารย์โทรมาต่อว่า ว่าทำไมถึงพูดแบบไม่ให้กำลังใจเด็กเลยล่ะ
โกก็บอกว่า โกพูดเรื่องจริง อาจารย์สอนเด็กประสาอะไร ว่าจบมหาลัยแล้วต้องได้เป็นผู้บริหาร อาจารย์บ้าป่าว..
แบบว่าคนรู้จักกันน่ะครับ .. แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เค้าก็เลยไม่ได้เชิญโกไปพูดอีก อิอิ

เรื่องความรู้ความสามารถนี่มันเรียน มันสอนกันได้นะครับ คงไม่มีใครเถียงโกหรอกนะ
แต่คนเรียนน่ะ จะรับเอาไอ้ที่เค้าสอนมาได้ทั้งหมดรึเปล่า นั่นมันอีกเรื่องนึง
ถ้าเรียน 3 เดือน จบออกมาแล้วเป็นมือาชีพกันหมดเลย แล้วไอ้พวกเรียนมหาลัย 4 ปี
ได้ทำงานตรงสายงาน เค้าไม่เป็นมืออาชีพกันหมดเลยหรือครับ

หลักสูตรที่ว่านี้ก็เหมือนกัน ถ้าเค้าบอกว่าผู้สมัครจะต้องทำงานมาแล้วจำนวนเวลาหนึ่ง
เป็นการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ละก็ โกถือว่าโอเคครับ แต่เค้าไม่ได้ว่ายังงั้น โกก็ถือว่าเป็นการโฆษณาเกินจริง

ยกให้อีกตัวอย่างก็ได้ครับ ถ้ามองไม่เห็นภาพ
อย่างวิชาการพยาบาลบ้านเราน่ะ มันมี 2 แบบ คือ เรียน 2 ปี จบออกมาเป็นพยาบาลเทคนิค
กับ เรียน 4 ปี จบออกมาเป็นพยาบาลวิชาชีพ พวกเทคนิคก็จะมีศักดิ์ศรีด้อยก ว่าพวกวิชาชีพเป็นธรรมดา

ก็จะมีคนประเภทหนึ่ง เค้าจะเลือกเรียนแค่ 2 ปีก่อน แล้วก็ออกไปทำงาน อาจจะไม่มีเงินเรียน 4 ปีก็ได้
พอทำงานไปซัก 4-5 ปี (อันนี้ไม่แน่ใจเรื่องเวลา) เมื่อวิชาแก่กล้า ก็ขอลาราชการไปเรียนต่ออีก 2 ปี
จบออกมาก็เป็นพยาบาลวิชาชีพสมศักดิ์ศรีกุลสตรีไทย
แล้วมัน ต่างกันตรงไหนล่ะท่าน..
ต่างกันตรงที่ว่า เค้าจะเรียน 2 ปีหลังง่ายกว่าเยอะเลยครับ เข้าใจเนื้อหาที่จะต้องเรียนง่ายกว่าพวกที่เรียน ปี 3 เยอะมาก
อาจารย์ก็จะไม่มาเรื่องมากกับพวกนี้ เพราะรู้แล้วว่าเป็นคนที่ผ่านการทำงานมาแล้ว
เรียนจบกลับไปทำงาน คราวนี้ก็ไม่เป็นพยาบาลวิชาชีพต๊อก ต๋อยอีกแล้ว

ทั้งหมดที่ว่ามานี่ เพียงแค่อยากจะแสดงความเห็นว่า จะเรียนมามากหรือน้อย มันไม่ได้ทำให้คุณเป็นมืออาชีพขึ้นมาได้หรอกครับ
มันมีองค์ประกอบมากกว่านั้นอีกเยอะเลย.. ถึงคุณไม่ได้เรียนอะไรมามากมาย แต่ถ้าคุณรู้จักทำงานให้เป็นระบบ
รู้จักที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่ยอมอยู่กับที่ คุณก็เป็นมืออาชีพได้
แต่ถ้าเรียนมาแล้ว คุณนิ่งๆ อยู่กับที่เฉยๆ แล้วก็เที่ยวได้ไปบอกใครต่อใครว่า ข้านี่แหละมืออาชีพ
คุณไม่ใช่หรอกครับ


"คุณบอกใครๆได้ ว่าคุณเป็นแชมเปี้ยน แต่ให้คนดูบอกเองว่าคุณเก่ง"
Jack Nicklaus