บทเพลงสมัยก่อน เวลาที่เค้าจะบรรยายความรู้สึกเศร้าสร้อย ห้อยโหยหวล
มันไม่เหมือนกับที่คนเขียนเพลงสมัยนี้เขียนนะ มันทื่อๆ ยังไงก็ไม่รู้ แทบจะไม่มีสัมผัส จะในจะนอกก็ไม่มี
ถ้อยคำที่ใช้ก็.. ปานนั้น ช่างไม่มีความสละสลวยเอาซะเลย
ลองอ่านเพลงข่างล่างนี้ดู แล้วคิดกันว่าเค้าบอกอะไรเราบ้าง
ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไถแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวเหน็บติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน ...
ทุ่งนาแดนนี้ข้าเคยไถทำ สองมือข้าเคยหว่านดำ ฤดูฝนพร่ำหน้าก่อน
แต่มาปีนี้ ฤดีข้าแสนจะสะท้อน เพราะมาไร้คู่กอดเคียงหมอน ทิ้งให้เรานอนระกำ
...รอยไถเอย ข้าเคยไถถาก เดี๋ยวนี้เจ้ามาคิดจาก ฝากให้เป็นรอยไถช้ำ
เปลี่ยนรอยไถใหม่ ทิ้งรอยไถเก่าระกำ อกใครใครบ้างไม่ช้ำ เมื่อยามเห็นรอยไถแปร
...ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจ แล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ จะไถไปอีกก็กลัวแพ้ เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย
เพลงนี้ชื่อเพลง "รอยไถแปร"
แต่งโดยสุรพล สมบัติเจริญ ขับร้องโดยก้าน แก้วสุพรรณ
เมื่อ 18 ต.ค. 2537 เพลงรอยไถแปร ได้รับการคัดเลือกเป็นเพลงลูกทุ่งดีเด่นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย
สุรพล สมบัติเจริญ (เดิมชื่อลำดวน) เกิดเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2473 เป็นคนสุพรรณบุรีโดยกำเนิด
เป็นนักร้องเพลงลูกทุ่งเจ้าของเพลงดัง "16 ปีแห่งความหลัง" ถูกยิงเสียชีวิต หลังจากการแสดงบนเวทีที่จังหวัดนครปฐม เสียชีวิต เมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2511 เมื่ออายุเพียง 37 ปี
แต่.. เค้าว่ากันว่า เพลงนี้มันมีความหมายมากมายกว่าที่เราเห็น
นอกจากจะเป็นการตัดพ้อที่สาวทิ้งไปมีชายอื่นแล้ว มันยังมีนัยยะแฝงไปในทางพิศวาสบาดจิตอีกด้วย
แหม.. โกก็ไม่อยากจะใช้คำอะไรให้มันแสลงใจ คนแต่งเค้าอาจจะไม่ได้คิดยังงั้น
ไอ้คนข้างหลังมันมาคิดมากเกินไปเอาเองก็เป็นได้
ไม่มีอะไรมาก ฟังเค้ามาก็เอามาเล่าสู่กันฟัง
วันนี้วันอาทิตย์ ไม่มีไรทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น