หน้าเว็บ

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปาก VS งานโรงแรม




เป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดข่าวลือเรื่องโรคลึกลับระบาดในกัมพูชา ทำให้มีเด็กๆเสียชีวิตหลายคน ซึงต่อมาก็ได้ทราบว่าไม่ใช่โรคลึกลับมหัศจรรย์อะไรหรอก โรคมือเท้าปากนี่แหละ

เมื่อความปรากฏชัด โกก็เลยเรียกลูกน้องในปกครองมาพบเพื่อสั่งการ ถามไปว่าทุกคนทราบเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาดใช่มั้ย ก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่าทราบ แล้วก็นิ่งไม่ว่าอะไรต่อ ก็คงจะงงๆ ว่าวันนี้เจ้านายกรูจะมาเรื่องอะไรอีก

เอาละวะ น้องๆเค้าคงเดาใจโกไม่ถูก โกเลยบอกไปว่า ฝ่ายบุคคลควรจะทำการประชาสัมพันธ์ออกไปนะจ๊ะ ทำประกาศเอาไปติดที่บอร์ดเพื่อเตือนให้บรรดาพนักงานทั้งหลายได้ทราบถึงรายละเอียดของโรคนี้ อาการมันจะเริ่มยังไง แล้วต่อมาแสดงผลยังไง มันจะติดต่อถึงกันยังไง ทาง e-mail หรือว่าทาง skype แล้วจะป้องกันในเบื้องต้นยังไง แค่นี้เอง ส่วนพนักงานที่ทราบรายละเอียดแล้ว เค้าจะไปทำยังไงต่อไปก็เรื่องของเขาแล้วล่ะ เข้าใจมั้ยครับ

น้องๆก็ทำหน้างง แย้งกลับมาว่าพี่ครับ โรคนี้มันติดต่อเฉพาะเด็กๆไม่ใช่เหรอครับ

อ่ะจริงดิ มันไม่ติดถึงผู้ใหญ่เหรอ น้องๆเริ่มยิ้ม สงสัยกำลังคิดในใจว่า เอาแล้ว หัวหน้ากรูพลาดแล้วงานนี้

โอเค.. มันไม่ติดต่อถึงผู้ใหญ่ แต่น้องๆลืมไปรึเปล่าครับว่า บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ทำงานอยู่ในโรงแรมน่ะ เกือบครึ่ง หรือกว่าครึ่งที่มีครอบครัว มีลูกแล้ว ลูกเล็กๆ ก็เยอะ เพิ่งคลอดก็แยะ รวมทั้งเจ้าด้วย โกหมายถึงลูกน้องคนนึงที่เพิ่งคลอดลูกมาได้ 3 เดือนฝ่าๆ

รอยยิ้มเริ่มจางลง .. ได้ทีขี่แพะไล่ฉันใดก็ฉันเพล โกเลยวิสัชนาต่อว่า พนักงานคนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าลูกป่วย เค้าก็ไม่มีกะจิตกะใจมาทำงานจริงป่าวครับ ไหนจะห่วงลูก ไหนอาจจะต้องพาลูกไป รพ. ยิ่งโรคแบบนี้ด้วย มันสามารถทำให้เสียชีวิตได้ เราก็รู้อยู่แล้วว่า รพ.ในบ้านนี้อาจจะรับมือยังไม่ไหว ... บลา บลา บลา  โอยยย โกพูดเยอะถึงขนาดเหนื่อย แต่ไม่เล่าให้ฟังก็ได้ กลัวขี้เกียจอ่าน อิอิ..
แต่เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวหมอมาทำงาน เรียกหมอมาพบพี่ดีกว่า ให้หมอเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้นะจ๊ะ

คือเรื่องแบบนี้ ฝ่ายบุคคลบางท่านอาจจะมองว่ามันเป็นธุระไม่ใช่ แต่โกว่าใช่นะครับ ถือว่ามองต่างมุมก็แล้วกัน เพราะหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับครอบครัวของพนักงาน มันย่อมส่งผลกระทบมาถึงเรื่องงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากน้อยต่างกัน สุดท้ายแล้วคนที่เสียประโยชน์ที่สุดก็คือนายจ้าง แต่กรณีนี้ โกก็ไม่ได้มองแค่ว่ามันเป็นเรื่องของผลประโยขน์ แต่มันควรจะเป็นเรื่องของแรงงานสัมพันธ์ เป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยที่นายจ้างหรือบริษัทฯ พึงมีต่อลูกจ้าง ส่วนลูกจ้างจะรับรู้ถึงความห่วงใยนี้ได้หรือไม่ ก็สุดแต่ความหนาบางของแต่ละคน ก็แค่นั้นเองครับ

แล้วถัดมาคุณหมอก็เข้ามาพบ โกก็ชี้แจงถึงความต้องการให้คุณหมอฟัง หมอก็ทำท่าเหมือนลูกน้องตอนแรกๆ นั่นแหละครับ แต่เมื่ออธิบายเพิ่มเติมคุณหมอก็เข้าใจ บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ จะไปเอาโปสเตอร์กับข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาจากทางกระทรวง

เรื่องนี้ มันก็น่าจะจบลงง่ายๆ อย่างนี้ไม่มีดราม่า หรือมาม่าอะไรมาเพิ่มเติม แต่ .. แต่ช้าแต่ ..

2 วันถัดมา คุณหมอกลับมารายงานว่า ได้ไปปรึกษาเรื่องนี้กับทางกระทรวงถึงความต้องการของทางฝ่ายบุคคลเราว่าจะประกาศให้พนักงานได้ทราบถึงเรื่องโรคระบาดนี้ ทางกระทรวงแจ้งว่าไม่สามารถทำได้ เพราะไม่อยากให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจ

โกก็ เอ๋อ..eat เลยอ่ะดิ ทำไมล่ะครับหมอ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าจะมาปกปิด ไม่ใช่เรื่องลับอะไรนี่หว่า เด็กตายออกโครมๆ 40-50 คน กระทรวงจะมาปกปิดอะไร เขาตกใจกันไปก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่ถ้าเราบอกให้เขารู้ เขาจะได้เลิกตกใจไง

หมอก็อธิบายมายาวเหยียด โกก็ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาไปยังงั้น
สรุปก็คือว่า จะไม่มีการดำเนินการใดๆ จบ.

อ่ะนะ ก่อนจบเรื่องนี้ โกขอนิดนึง
..กรูไม่เข้าใจเว้ย.. มรึงคิดอะไรกันอยู่ว้า

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความเกรงใจ เป็นสมบัติของคน


Why COMPLICATE Life?

Missing somebody? ………. Call
Wanna meet up? ………. Invite
Wanna be understood? ………. Explain
Have question? ………. Ask
Don’t like something? ………. Say it
Like something? ………. Ask for it
Love someone? ………. Tell it

Nobody will know what's going in your mind…
It's better to express rather than to Expect ….
You already have the NO. Take the risk of getting the YES
We just have one life. Keep it Simple Silly ….

เอกสารภาษาอังกฤษข้างบนนั่น มีเผยแพร่ใน facebook มานานแล้ว มีคนเข้ามากด Like มากมาย
คนเราควรจะทำอะไรๆ อย่างที่ใจอยากทำไปซะทุกเรื่องตามนั้น จริงๆหรือ ?
คิดถึงใครบางคน ..... โทรหาสิ
อยากจะพบปะกัน ..... เชิญเขาสิ
อยากให้เขาเข้าใจ ..... อธิบายสิ
มีปัญหาสงสัย ..... ถามสิ
ไม่ชอบอะไร ..... พูดมาเลย
ชอบอะไร ..... ขอสิ
รักใครสักคน ..... บอกไปสิ

ถ้าอะไรๆ มันง่าย อย่างนั้นมันก็ดีนะครับ
และเพราะเหตุที่คนสมัยใหม่ชอบที่จะยึดติดกับอะไรที่มันง่ายๆ แบบนี้กระมัง
คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเพิ่งโต จึงออกแนวก้าวร้าว ไร้สัมมาคารวะกันไปหมด
คิดอยากทำอะไรก็ทำ คิดอยากพูดอะไรก็พูด โดยไม่ต้องสนใจว่าคนฟังเป็นใคร รู้สึกอย่างไร

ลองหัดกลับมาดูคำสอนของพระพุทธเจ้าหน่อยนึง
พุทธองค์สอนว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด และที่สำคัญ คือ ตอนไหนควรพูด ตอนไหนไม่ควรพูด

1.     วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รักชอบใจของคนอื่น
      ตถาคตไม่พูดวาจานั้น
2.     วาจาใดจริง แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งไม่เป็นที่รักชอบใจของคนอื่นด้วย
ตถาคตไม่พูดวาจานั้น
3.     วาจาใดจริงแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รักชอบใจของคนอื่น
ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้จักกาลอันควร หรือไม่ควรที่จะพูดวาจานั้น
4.     วาจาใดไม่จริง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ถึงเป็นที่รักชอบใจของคนอื่น
ตถาคตไม่พูดวาจานั้น
5.     วาจาใดแม้จริงแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ถึงเป็นที่รักชอบใจของคนอื่น
ตถาคตก็ไม่พูดวาจานั้น
6.     วาจาใดจริงแท้ด้วย ประกอบด้วยประโยชน์ด้วย ทั้งเป็นที่รักชอบใจของคนอื่นด้วย
ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพูดวาจานั้น

ภาษาไทยมีคำอยู่คำหนึ่ง ที่ยากต่อการแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ตรงตามความหมาย
คือคำว่า "เกรงใจ"
เมื่อก่อนจะพูดกันว่า "ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี" ฟังแล้วเข้าใจยาก
เพราะคนฟังจะเถียงว่า ก็ชั้นไม่ใช่ผู้ดี จึงไม่ต้องเกรงใจใคร ..

อยากจะบอกใหม่ว่า "ความเกรงใจเป็นสมบัติของคน"
ไม่ว่าจะยากดีมีจน เป็นไพร่ เป็นคหบดี พ่อค้า ประชาชน อำมาตย์ หรืออะไรก็แล้วแต่
ลงว่ามีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจในกันและกันแล้ว
อะไรๆ ในโลกนี้ มันก็จะดูดีไปหมดแหละครับ

สาธุ.

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตลกร้าย ของ social network

โมกับแม่
มีเรื่องตลกร้ายมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว

เมื่อวานนี้ครับ พี่สาวของโกเข้าห้อง ICU สุดท้ายหมอแจ้งว่าจะต้องทำการผ่าตัดด่วน ลูกสาวก็เอาข่าวมาโพสท์ใน fb มีเพื่อนๆ หลานเข้ามาให้กำลังใจเยอะเลย โกผ่านมาเห็นเข้า ก็สอบถามตามประสา หลานบอกว่า สรุปว่าหมอจะผ่าตัดแม่เย็นนี้เลย สาเหตุคร่าวๆมาจากลำไส้ทะลุ ถ้าไม่ผ่าตัดจะมีลมและของเสียออกจากลำไส้ออกมาสะสมที่ช่องท้องและจะทำให้แม่ติดเชื้อและเสียชีวิตได้....

โกก็เลยเม้นท์ไปว่า : ลำใส้ทะลุเหรอ เป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไรมั้งตุลย์ แผลผ่าตัดก็อาจจะไม่ใหญ่โตมโหฬารอะไร ทำใจให้สบายนะ หลานฝั่งเมียน้าเข้าออก รพ. เพื่อผ่าตัดตั้งกะเด็ก ยังกะเด็กธรรมดาวิ่งไปร้านเซเว่น มันยังโอเคเลย รายนั้นเอาปลายลำใส้ใหญ่มาแปะไว้ที่ท้องตั้งกะแบเบาะเลยนะ พอโตหน่อยก็เอาไปไว้ที่เดิม ทำแล้วไม่ดีก็ทำอีก แม่ตุลย์ลำใส้ทะลุนิดเดียว น้าว่าหมอคงบอกว่าเรื่องหมูๆนะ ยังไงก็ส่งข่าวเรื่อยๆนะ

หลานตอบกลับมาว่า : น้าป้อม ตอนนี้แค่คร่าวๆค่ะ อาการเบื้องต้น ยังต้องรอหมอค่ะ
โกว่า : เอาน่า มันก็รวมๆ กันอยู่บนเตียงผ่าตัดนั่นแหละ ฝากทุกอย่างเอาไว้กับคุณหมอที่ทำผ่าตัดว่า คุณหมอจะทำให้ดีที่สุดเหมือนที่เคย แล้วก็..คุณพยาบาลจะไม่ลืมอะไรทิ้งเอาไว้ในพุงแม่ อิอิ

พี่ชายอีกคนแวะผ่านมาเห็นเข้า : เอาใจช่วยแม่ของตุลย์ในทุกนาที ขอให้การผ่าตัดได้รับผลสำเร็จนะ แต่ที่จริง ก็จะได้รับผลสำเร็จแน่ๆ มีพื้นที่ให้หมอทำงานเยอะ 
ทันใดนั้น มีสุภาพสตรีซึ่งเป็นเพื่อนของหลานคนหนึ่งได้เข้ามาเม้นท์ ความจริงถ้าเธอจะเม้นท์เฉพาะตัวให้เหมือนเพื่อนของหลานคนอื่นๆ อีกหลายสิบคนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เจ้าหล่อนดันจรเข้ฟาดหางมาที่โกด้วย : แก...หมอบอกว่าไงบ้าง หลังผ่าตัดจะมีปัญหาไรตามมาไหม ...บางคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก สำหรับคุณ แต่คุณไม่ได้ยืน ณ จุดที่เพื่อนชั้นยืนอยู่ คุณไม่รู้หรอก ว่ารู้สึกอย่างไร ใครก็พูดได้แค่ลำไส้ทะลุ ไม่เป็นไรมั้ง อยากให้ลองมาอยู่ ณ จุดนี้ จะได้รับรู้บ้าง เผื่อจะมีอะไรสร้างสรรค์ในการให้กำลังใจคน...

พี่ชายโกยังตามเรื่องน้องป่วยอยู่ ก็เลย : ขออนุญาตเข้ามาเบรคการให้กำลังใจญาติผู้ป่วยนิดเดียวครับ .. ขอโทษคุณ.. ที่คงเป็นเพื่อนตุลย์และเป็นห่วง คือ ..พวกบ้านผม มีวิธีให้กำลังใจกันดิบๆแบบนี้แหละครับ ประสาคนผ่านโลกยากๆมาด้วยกันกับแม่ของตุลย์ สัก 20 ปี ก่อนที่เจ้าตุลย์จะเกิด ถ้าเผื่อเขียนอะไรไปที่ขัดตาขัดใจ ก็ ขอโทษด้วยครับ ขอโทษแทน GoPom ด้วยอีกคน

แต่โกมาตามงานเจอเข้าแล้วปรี๊ด : 55555 อึ้ง ทึ่ง เสียว ดีว่าน้าเข้ามาขอเบรคซะก่อนนะ ขอบพระคุณน้าด้วยครับที่ขอโทษคุณ..แทนโกไปแล้ว แต่โกขอคืนนะครับ คุณ..กรุณาอย่ารับไปเลยครับ เสียของ (** เวลาเล่นเน็ท โกจะเรียกพี่ชายว่าน้า)

ยัยสุภาพสตรีคนนั้นก็ตอบกลับมา : ไม่รับหรอกคะ...เสียมือ ไม่ต้องเสียดายของหรอกคะ เพราะแม่ตูนก็เหมือนแม่เรา ตอนพ่อตูนเสีย ยังมาหาเราเลย เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ และไม่ได้เอ่ยถึงผู้ใด ไม่ต้องร้อนตัวนะคะ ^^

ความเห็นส่วนตัวของโก
1. โกว่าจะไม่เขียนอะไรไปด่าเค้าตั้งแต่แรกแล้วเชียวนะ แต่โกก็อดรนทนไม่ได้อีกแหละ ก็พยายามสุภาพให้ถึงที่สุดนะ ไม่วายโดนเด็กแม่มถอนหงอกเอาจนได้ สมน้ำหน้ากรูเอง 555 คืออยากจะบอกว่าปกติเวลาโกรธขนาดนั้น โกขุดโคตรมันมาด่าสามวันไม่ซ้ำเลยนะ
2. โกคิดว่า การเข้าไปเม้นท์อะไรต่อมิอะไรของโกในบ้านของหลาน มันก็เป็นเรื่องของคนสองคน(ซึ่งเป็นญาติกัน) ไม่ทราบว่ายัยคนนั้นแม่มมีบัตร.. หรืออย่างไร? ถึงได้มาออกความเห็นในเม้นท์คนอื่น ซึ่งไม่ใช่ญาติของเค้า แถมยังบอกว่าแม่เพื่อนก็เหมือนแม่ตัว ถ้าพี่สาวโกเป็นแม่เค้า โกก็เป็นน้าอยู่ดี มาพูดแบบนี้โกตบแม่มฟันหลุด.
3. มาเม้นท์แบบที่เล่าให้ฟัง แต่กลับพูดอ้างว่าไม่ได้เอ่ยชื่อใคร ยัยนี่สมควรเป็นทำงานเป็นทนาย หรือถ้าเป็น สส. ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองฮวบๆ คนที่มาเม้นท์ทั้งหมดมีโกคนเดียวที่พูดว่า แค่ใส้ทะลุนิดเดียว .. ไม่ออกชื่อก็จริง แต่ยัยนี่เล่น qoute มาเกือบทั้งประโยค
4. ผู้คนสมัยนี้เค้าเป็นแบบนี้กันหรือครับ? หรือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ ที่โกควรจะต้องยอมรับ? ถ้าหากว่าโกเข้ามาด่าหลาน หรือด่าพี่สาวหยาบๆ คายๆ หรือมาแช่งชักหักกระดูกพี่สาว แล้วเพื่อนๆของหลานจะมารุมด่า อันนั้นโกก็ว่าสมควรอยู่ แต่นี่ก็เปล่านะ เม้นท์ของโกก็สไตล์โก แบบว่า "เฮ่ยยย.. ใจเย็นน่า ไม่มีอะไรหรอก" พี่ชายโกก็มาคล้ายๆกัน "พื้นที่ทำงานของหมอเยอะ.." ก็แบบว่าเรื่องเล็กน่า อะไรแบบนั้น แล้วมันยังไง(วะ)
5. นึกไม่ออกแล้ว จบดีกว่า เดี๋ยวโมโหอีกรอบแล้วค่อยมาเขียนต่อ นะจ๊ะ..

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์งาน : เจอดีเข้าจนได้


เคยสัมภาษณ์งานมาแล้วเยอะแยะหลายคนหลายรูปแบบ เคยโดนคนถูกสัมภาษณ์ถามกลับก็หลายครั้งว่าต้องถามเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ เคยโดนคนถูกสัมภาษณ์ร้องไห้ใส่ก็มี จนหัวหน้าแผนกเข้ามาแซวว่าทำไมสัมภาษณ์โหดแบบนี้(วะ) แต่วันนี้เป็นกรณีใหม่เอี่ยมถอดด้ามไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เป็นการสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับครับท่าน

She บอกว่าเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับมาแล้วปีกว่า โอเค.รับทราบ ก็ถามว่างานที่ทำในหน้าที่น่ะ มีอะไรบ้าง เจ๊แกก็ตอบได้บ้าง ถูกบ้างผิดบ้าง โอเค.ไม่ว่ากัน

ถามว่าห้องพักที่โรงแรมเก่าราคาเท่าไหร่? ชีตอบว่า 80++. อ่ะนะ แล้วสรุปว่าเป็นเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ชีไม่ยอมตอบ แถไปมาโน่นนี่ โกก็ชักเอะใจ สุดท้ายบอกโกว่าหัวหน้างานยังไม่อนุญาตให้แจ้งราคาห้องพักให้กับลูกค้าเพราะยังเป็นพนักงานใหม่ อ้าว.. ทำงานมาเป็นปีแล้วยังใหม่อยู่อีกเหรอ คราวนี้ก็เปลี่ยนจากสัมภาษณ์เป็นสอบสวน สุดท้าย CV เจ๊แกก็ fake อ่ะนะ เพิ่งทำงานได้ 3 เดือน แต่ดันเขียนบอกใน CV ว่าทำงานมาแล้วปีกว่า หอยหลอดเอ้ย.

ไม่เป็นไรโกใจดีคุยต่อได้ กลับมาที่ราคาค่าห้องพัก รู้มั้ยว่าจริงๆแล้วมันเท่าไหร่? ก็ไม่ยอมตอบซักที ทำไมเมิงไม่บอกว่าไม่รู้วะ จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป นี่ยังไม่ได้ถามเลยนะว่า ไอ้+แรกกับ+ที่สองน่ะ มันคิดยังไง หมายถึงอะไร เพราะโกว่าถามไปก็ตอบไม่ได้

งั้นเอาใหม่ ทำไมถึงจะลาออกจากงานล่ะ อ๋อ.. ที่ทำงานมันไกลจากบ้านน่ะ มาอีกแล้วไอ้คำตอบแบบนี้ เลยถามต่อว่าในระยะเวลา 3 เดือนนี่ ย้ายบ้านไกลออกไปจากโรงแรม หรือโรงแรมย้ายที่ตั้งออกไปอยู่ไกลจากบ้านรึเปล่า ถึงเพิ่งรู้สึกเอาวันนี้ว่ามันไกล sheเริ่มหน้าตึงเว้ยเฮ้ย.. ก็วันที่หล่อนไปสมัครงานน่ะ ทั้งโรงแรมทั้งบ้านมันก็ยังที่เดิมเหมือนวันนี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนั้นไม่ไกลแต่วันนี้มันไกลล่ะ ตอนนี้เวลาพูดคิ้วเจ๊เริ่มกระดิกข้างนึงแล้วล่ะ

โอเคบ้านไกล แล้วใช้เวลากี่มากน้อยในการขี่รถไปถึงที่ทำงาน? 20 นาที (โกร้องในใจ โห.. ไกลเฮียเลยนะนั่น) แล้วจากบ้านมาที่โรงแรมนี้ล่ะ กี่นาที? เจ๊บอกว่า 15 นาที โกก็อึ้ง อ่ะนะ 5 นาทีที่แตกต่างกัน ทำไมเมิงไม่บอกกรูตรงๆว่า อยากมาทำงานที่นี่เพราะใหญ่กว่า น่าจะมั่นคงแข็งแรงกับชีวิตมากกว่า อะไรแบบนั้น

ถามใหม่อีก CV ที่เขียนมานี่ เขียนเองทำเองรึเปล่า? เจ๊ตอบแบบสาวมั่นว่าทำเองดิ โอเค.ดีมาก เพราะเจ๊บอกว่าจบคอสคอมพิวเตอร์มาด้วย ไม่มีใบประกาศมาโชว์ก็ไม่เป็นไร เจ๊บอกว่าหายโกก็ไม่ว่า แต่เจ๊ออกไปนั่งพิมพ์งานให้ดูหน่อยเด่ะ ว่าใช้คอมพิวเตอร์เป็นจริงๆ

เจ๊บอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เอ๋.. เกี่ยวกันยังไงหว่า โอเช เพราะโกก็คือโก (ตอนนั้น 11.00 เจ๊แกมาถึง 09.30) เอายังงี้นะ เจ๊กลับไปกินข้าวเช้ารวมข้าวเที่ยงก่อน แล้วบ่ายกลับมาทดสอบการใช้คอม.นะ เจ๊ถามกลับมาแบบมั่นใจว่าทำไมต้องทดสอบการใช้คอม.ด้วย โกใบ้ eat ไป 5 วินาที.. ตั้งสติเรียกสตังค์กลับมาได้ ก็เริ่มอธิบายให้เจ๊ฟังว่ามันจำเป็นยังไง

สุดท้ายเจ๊ก็บอกว่าไม่ทดสอบหรอก เพราะเดี๋ยวถ้าทดสอบการใช้คอมเสร็จ ก็จะให้ทดสอบอย่างอื่นอีก มันไม่จำเป็น แล้วเจ๊ก็บอกว่า "มาสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน คุณก็แค่ถามโน่น นั่น นี่ นิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องทดสอบอะไร แล้วก็ให้โอกาสพนักงานใหม่ทำงาน ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเก่งหรือไม่เก่ง.. "

ใบ้ eat เป็นครั้งที่ 2 แล้วโกก็เลยกราบเรียนถามไปว่า ตอนไปสมัครงานที่โรงแรมเก่าน่ะครับ ทางโน้นเค้าถามอะไรคุณบ้างล่ะครับ เจ๊บอกว่า "เค้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากเหมือนคุณหรอก บอกเพียงแต่ว่าให้ตั้งใจทำงาน เรียนรู้งาน ก็แค่นั้นเอง"

โกก็เลยบอกว่า "เพราะยังงั้นไงครับ เพราะเค้าไม่ได้ถามอะไรคุณไงครับ เค้าถึงไม่รู้ว่าคุณจะอยู่กับเค้าแค่ 3 เดือนแล้วก็ลาออกไปหาที่ทำงานใหม่ เพราะตอนนี้นี้คุณรู้สึกว่าที่ทำงานมันไกลบ้านเหลือเกิน ไม่เหมือนกับวันแรกที่คุณไปของานเขาทำ.. ฯลฯ"

แล้วเธอก็จากไป

โกช้ำใจมากเลยอ่ะ อย่างที่บอกนั่นแหละว่าสัมภาษณ์งานมาเยอะ (มากกว่าถูกสัมภาษณ์เองแยะ) แต่ไม่เคยเจอกรณีแบบนี้เลย.

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

ลำบากจังเลย


วันนี้เพิ่งขึ้นธรรมาสเทศนาให้น้องๆได้ฟังกัน เรื่องความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิตของพวกเรากันเอง ที่ทำงานเป็นพนักงานระดับบริหารของโรงแรม หลายคนบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้ งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เครียด กลับไปบ้านก็เครียด ลูก-เมีย สารพัดสารเพ ไหนจะคนใช้ที่บ้านอีก (อันหลังนี่ โกหมายถึงว่าน้องๆเค้าบ่นให้ฟังนะครับ ที่บ้านโกไม่มีคนใช้ ที่เราหมายถึงลูกจ้าง บ้านโกมีแต่คนใช้ แบบที่ชี้นิ้วสั่งให้โกทำโน่นทำนี่ตลอดอ่ะ) ทำงานอยู่ในโรงแรมทุกวันนี้ มันลำบากยากแค้นเหลือแสน เค้าว่า.. แต่โกว่าไม่ใช่อ่ะ
เช้าลืมตาแคว่กตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำอาบน้ำ เปิดก๊อกก็มีน้ำไหลออกมา ไม่ต้องไปตักไปหาบมาจากไหน แถมยังเป็นน้ำร้อนผสมน้ำเย็นอีกต่างหาก หน้าหนาวก็อาบน้ำอุ่นมากหน่อย หน้าร้อนก็อาบน้ำเย็น ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่เสีย สบายดี

อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินไปกินข้าวที่ห้องอาหาร โห... เวรและกรรมตามมาเห็นๆ อาหารวางให้เลือกอยู่ประมาณ 50 อย่าง กรูจะกินอะไรละวะเนี่ยะ ลำบากยากเย็นต่อการตัดสินใจเสียเหลือเกิน แค่นๆ ตักอาหารใส่จานมานั่งที่โต๊ะ เงยหน้าขึ้นมา น้องพนักงานเสิร์ฟเดินมายืนยิ้มอยู่ข้างๆแล้ว “รับกาแฟร้อนนะคะ” แหม.. รู้ใจซะด้วย ก็ของมันเคยเสิร์ฟกันอยู่ทุกวันนี่นา ลำบากต้องนั่งคอยแป๊บนึงอีกแล้วนะ
กินเสร็จ เด็กก็มาเก็บกวาดบนโต๊ะอาหารให้ ลำบากเราไม่ต้องเก็บเอง ไอ้ที่เหนื่อยจริงๆ ก็คือต้องออกแรงไปตวัดปากกาเซ็นชื่อในบิลล์เท่านั้น เซ็นเฉยๆเป็นหลักฐานว่าได้มารับประทานอาหารมื้อนี้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินจ่ายทองแต่ประการใด ลำบากนะเนี่ยะ ที่พูดมาทั้งหมดนี่มัน 3 มื้อนะครับท่าน เค้าบังคับให้กินวันละ 3 มื้อ รวมถึงหวัดหยุดก็บังคับกลายๆว่า ถ้าไม่ออกไปเที่ยวซุกซนที่ไหนก็เข้ามากินด้วยนะ ลำบากใจมั้ยละครับท่าน

กระโดดข้ามไปหน่อยเรื่องตื่นนอนแล้วไปอาบน้ำ จะบอกว่าผ้าเช็ดตัวก็ไม่ต้องซักเองนะ ที่นอนก็ไม่ต้องอะไรมาก พอเราสะบัดตูดออกจากห้องไป เดี๋ยวเดียวก็จะมีเด็กแม่บ้านแอบย่องเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ เค้าก็จะปูที่หลับปัดที่นอนให้เรียบร้อย เก็บกวาดเช็ดถูพื้นห้อง ทำความสะอาดห้องน้ำ เหมือนกันกับที่เค้าต้องทำให้กับห้องพักของลูกค้าที่จ่ายเงินเข้ามานอน,ฉันใดก็ฉันเพล แต่ของเราไม่ต้องเสียเงิน ลำบากมั้ยล่ะ แถมในห้องที่เค้าจัดให้นอนก็แสนจะสบาย นอนคนเดียว ตู้เตียงโต๊ะเครื่องแป้งมีพร้อมมูล ตู้เย็นก็มี ทีวีก็มี ห้องนอนก็ติดแอร์นะ ไม่ใช่เอาพัดลมมาเป่าตูดที่ไหน มันจะลำบากก็ตรงอีนอนคนเดียวนี่ละม้าง..
พูดเรื่องกระโดด ก็จะย้อนกลับไปพูดเรื่องแต่งตัวอีกนิด ทุกวันนี้โรงแรมเค้าก็ตัดเครื่องแบบให้ใส่นะ เสื้อสูท 2 ตัว กางเกงอีก 2 ตัว แต่ถ้ามันไม่พอใส่ โกว่าเอ็งก็ซื้อหามาใส่กันเองบ้างเถอะวะ จะได้ใช้เงินให้มันหมุนๆออกไปบ้าง ซักรอบก็ยังดี นอกจากนี้เค้ายังแถมมีบริการซักรีดอีกต่างหากนะพระคุณท่าน จะลำบากก็อีตอนที่ต้องไปรับ-ส่งที่ซักรีดนี่แหละ
ชีวิตพวกน้องๆ นี่มันลำบากตรงไหน(วะ) โกอยากรู้

เป็นผู้บริหารงานระดับหัวหน้าแผนก มีลูกน้องคอยทำงานเป็นแขนเป็นขาเป็นมือเป็นเท้าให้ด้วยกันทั้งนั้น ไอ้ที่จะต้องลงมือทำเองก็มีแค่ไม่กี่อย่าง จะลำบากก็อีตรงต้องคอยควบคุมให้ลูกน้องตัวเองทำงานตามที่เราวางนโยบายเอาไว้เท่านั้น ซึ่งถ้ารู้จักบริหารคนดีๆแล้ว ก็ไม่น่าจะเหนื่อยยากอะไร ตัวเราเองก็รับผิดชอบงานในหน้าที่ของเราให้ดี ก็แค่นั้นเอง
มองไปรอบๆตัวของเราในโลกกว้าง มีคนอีกมากมายก่ายกองที่เค้า “ลำบากกว่าเรา” และพวกเขาเหล่านั้น “ลำบาก” จริงๆ ลำบากประเภทที่วันๆไม่รู้จะกินอะไร ลำบากแบบที่ต้องเอาน้ำลูบท้อง เคยได้ยินใช่มั้ยครับ แต่พวกเราหลายๆคนตอนนี้รู้สึกลำบาก เพราะไม่รู้จะเลือกกินอะไร มันเบื่อๆ มันน่าจะให้อดซะให้เข็ดนะเนี่ยะ

พวกเราไม่ต้องซักผ้าเองไม่ต้องรีดเสื้อผ้าเอง ไม่ต้องกวาดถูทำความสะอาดบ้านเอง ห้องน้ำก็ไม่ต้อง มีคนทำให้เสร็จเรียบร้อย เราไม่ต้องทำกับข้าวเองไม่ต้องเก็บโต๊ะเอง ถึงเวลาก็มีคนมาปฏิบัติพัดวีให้ ยังจะมาบ่นว่าลำบาก มันลำบากตรงไหน(วะ)

ลูกน้องของเราเอง ผู้ชายเหมือนเรา มีเมีย 1 คน ลูก 1 คน สมมุติว่าเหมือนเราก็แล้วกัน แต่เค้าเงินเดือนน้อยกว่าเรา 5 เท่า ทำไมเขายังเลี้ยงชีพอาตมาอยู่ได้ด้วยเงินเดือนน้อยนิด ภาระหน้าที่ของเขาเหนื่อยยากกว่าเราด้วยซ้ำ บางคนต้องตื่นมาเข้าเวรตั้งกะตี 5 ซึ่งเราไม่เคย บางคนต้องเลิกงานเที่ยงคืน แต่พวกเราเข้าเวรเลิก 4 ทุ่มเดือนละ 3 ครั้ง ก็บ่นกันประปอดประแปดแล้ว
จะบ่นอะไรกันนักหนาจ๊ะ

ดาวลูกไก่

วันนี้ตั้งใจเข้ามาเขียนขอบคุณ "Google" โดยเฉพาะเลย แม่เจ้าเหวย เจ้าเว้ย
มันทำให้การค้นหาอะไรๆ ที่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถามใครๆ ก็ไม่ได้ มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ พับผ่าสิเอ้า.. ข้าพเจ้าขอคารวะ ด้วยความจริงใจ
ลองดูแหล่ข้างล่างนี่เป็นตัวอย่างนะครับ
โกเคยฟังและชอบแหล่นี้ มาตั้งแต่เมื่อประมาณเมื่อ 30 กว่าปีก่อน วันนี้นึกถึงขึ้นมา แม้แต่ก็จำเนื้อไม่ได้แล้ว หันหน้าไปถามใครก็ยาก แต่สามารถค้นได้จาก "อากู๋" นี่แหละ  

ดาวลูกไก่ (ภาค 1)
โอ้ชีวิต คิดไฉน               ใครหนอใครลิขิต
บ้างก็พูดกันผิดๆ              ว่าเป็นความผิดพระศิวะ
จึงขอศรัทธาสาธก            เรื่องยาจกจนยาก
มีสองตายายตายซาก         ปลูกรกรากอยู่ริมทางเปลี่ยว
แกเลี้ยงแม่ไก่หลง           มีลูกในกรงเจ็ดตัว
พอเช้าก็ออกริมรั้ว           จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าวเหนียว
เวลาอีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ        แม่ก็โอบปีกแผ่
เรียกลูกมาซุกจั๊กกะแร้       ลูกบอกว่าแม่เหม็นเขียว
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต           เมื่อใกล้อาทิตย์อัสดง
ยังมีภิกษุหนึ่งองค์           เดินออกจากดงยืนเยี่ยว
ธุดงค์เดียวด้นดั้น            เมื่อสายัณห์ใกล้มืด
อากาศก็เริ่มเย็นชืด           พระสวมเสื้อยืดสีเขียว
อยากรู้เรื่องต่อกันแล้ว      อ่านต่อภาคสองเลยเชียว ..  

ดาวลูกไก่ (ภาค 2)
พระธุดงค์ลงมุ้ง               ตะวันก็มุ่งลับไม้
ส่วนพระจะนอนท่าไหน      ก็ไม่มีใครข้องเกี่ยว
ฝ่ายว่าสองยายตา           แกเกิดศรัทธาสามารถ
ปลุกพระให้ไปตลาด        พระเลยไปฟาดก๋วยเตี๋ยว
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย         นี่แน่ะยายเอ๊ยตอนแจ้ง
ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง    ยายทำหน้าแห้งนมเหี่ยว
ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน               น้ำตารินไหลหล่น
น้ำตาแม่ไก่ไหลวน           เลยไหลไปปนกะเยี่ยว
ฝ่ายลูกไก่ทั้งเจ็ด              เหมือนถูกเด็ดดวงจิต
พากันโดดไปคนละทิศ       โดยที่ไม่คิดข้องเกี่ยว
ด้วยอานิสงส์ใจไม่ประเสริฐ    ลูกไก่ไปเกิดเป็นไข่เจียว ..