![]() |
โมกับแม่ |
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555
สัมภาษณ์งาน : เจอดีเข้าจนได้
เคยสัมภาษณ์งานมาแล้วเยอะแยะหลายคนหลายรูปแบบ เคยโดนคนถูกสัมภาษณ์ถามกลับก็หลายครั้งว่าต้องถามเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ เคยโดนคนถูกสัมภาษณ์ร้องไห้ใส่ก็มี จนหัวหน้าแผนกเข้ามาแซวว่าทำไมสัมภาษณ์โหดแบบนี้(วะ)
แต่วันนี้เป็นกรณีใหม่เอี่ยมถอดด้ามไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต เป็นการสัมภาษณ์ผู้สมัครเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานต้อนรับครับท่าน
She บอกว่าเคยทำงานเป็นพนักงานต้อนรับมาแล้วปีกว่า โอเค.รับทราบ ก็ถามว่างานที่ทำในหน้าที่น่ะ
มีอะไรบ้าง เจ๊แกก็ตอบได้บ้าง ถูกบ้างผิดบ้าง โอเค.ไม่ว่ากัน
ถามว่าห้องพักที่โรงแรมเก่าราคาเท่าไหร่? ชีตอบว่า 80++. อ่ะนะ
แล้วสรุปว่าเป็นเป็นเท่าไหร่ล่ะ? ชีไม่ยอมตอบ แถไปมาโน่นนี่ โกก็ชักเอะใจ
สุดท้ายบอกโกว่าหัวหน้างานยังไม่อนุญาตให้แจ้งราคาห้องพักให้กับลูกค้าเพราะยังเป็นพนักงานใหม่
อ้าว.. ทำงานมาเป็นปีแล้วยังใหม่อยู่อีกเหรอ
คราวนี้ก็เปลี่ยนจากสัมภาษณ์เป็นสอบสวน สุดท้าย CV เจ๊แกก็ fake อ่ะนะ เพิ่งทำงานได้ 3 เดือน
แต่ดันเขียนบอกใน CV ว่าทำงานมาแล้วปีกว่า
หอยหลอดเอ้ย.
ไม่เป็นไรโกใจดีคุยต่อได้ กลับมาที่ราคาค่าห้องพัก
รู้มั้ยว่าจริงๆแล้วมันเท่าไหร่? ก็ไม่ยอมตอบซักที ทำไมเมิงไม่บอกว่าไม่รู้วะ จะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป
นี่ยังไม่ได้ถามเลยนะว่า ไอ้+แรกกับ+ที่สองน่ะ มันคิดยังไง หมายถึงอะไร
เพราะโกว่าถามไปก็ตอบไม่ได้
งั้นเอาใหม่ ทำไมถึงจะลาออกจากงานล่ะ อ๋อ.. ที่ทำงานมันไกลจากบ้านน่ะ
มาอีกแล้วไอ้คำตอบแบบนี้ เลยถามต่อว่าในระยะเวลา 3 เดือนนี่
ย้ายบ้านไกลออกไปจากโรงแรม หรือโรงแรมย้ายที่ตั้งออกไปอยู่ไกลจากบ้านรึเปล่า ถึงเพิ่งรู้สึกเอาวันนี้ว่ามันไกล sheเริ่มหน้าตึงเว้ยเฮ้ย.. ก็วันที่หล่อนไปสมัครงานน่ะ ทั้งโรงแรมทั้งบ้านมันก็ยังที่เดิมเหมือนวันนี้ไม่ใช่เหรอ
ทำไมวันนั้นไม่ไกลแต่วันนี้มันไกลล่ะ ตอนนี้เวลาพูดคิ้วเจ๊เริ่มกระดิกข้างนึงแล้วล่ะ
โอเคบ้านไกล แล้วใช้เวลากี่มากน้อยในการขี่รถไปถึงที่ทำงาน?
20 นาที (โกร้องในใจ โห.. ไกลเฮียเลยนะนั่น) แล้วจากบ้านมาที่โรงแรมนี้ล่ะ กี่นาที?
เจ๊บอกว่า 15 นาที โกก็อึ้ง อ่ะนะ 5 นาทีที่แตกต่างกัน ทำไมเมิงไม่บอกกรูตรงๆว่า
อยากมาทำงานที่นี่เพราะใหญ่กว่า น่าจะมั่นคงแข็งแรงกับชีวิตมากกว่า อะไรแบบนั้น
ถามใหม่อีก CV ที่เขียนมานี่
เขียนเองทำเองรึเปล่า? เจ๊ตอบแบบสาวมั่นว่าทำเองดิ โอเค.ดีมาก เพราะเจ๊บอกว่าจบคอสคอมพิวเตอร์มาด้วย
ไม่มีใบประกาศมาโชว์ก็ไม่เป็นไร เจ๊บอกว่าหายโกก็ไม่ว่า
แต่เจ๊ออกไปนั่งพิมพ์งานให้ดูหน่อยเด่ะ ว่าใช้คอมพิวเตอร์เป็นจริงๆ
เจ๊บอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เอ๋.. เกี่ยวกันยังไงหว่า
โอเช เพราะโกก็คือโก (ตอนนั้น 11.00 เจ๊แกมาถึง 09.30) เอายังงี้นะ เจ๊กลับไปกินข้าวเช้ารวมข้าวเที่ยงก่อน
แล้วบ่ายกลับมาทดสอบการใช้คอม.นะ เจ๊ถามกลับมาแบบมั่นใจว่าทำไมต้องทดสอบการใช้คอม.ด้วย
โกใบ้ eat ไป 5 วินาที.. ตั้งสติเรียกสตังค์กลับมาได้
ก็เริ่มอธิบายให้เจ๊ฟังว่ามันจำเป็นยังไง
สุดท้ายเจ๊ก็บอกว่าไม่ทดสอบหรอก
เพราะเดี๋ยวถ้าทดสอบการใช้คอมเสร็จ ก็จะให้ทดสอบอย่างอื่นอีก มันไม่จำเป็น
แล้วเจ๊ก็บอกว่า "มาสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงาน คุณก็แค่ถามโน่น นั่น นี่
นิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องทดสอบอะไร แล้วก็ให้โอกาสพนักงานใหม่ทำงาน
ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเก่งหรือไม่เก่ง.. "
ใบ้ eat เป็นครั้งที่ 2 แล้วโกก็เลยกราบเรียนถามไปว่า
ตอนไปสมัครงานที่โรงแรมเก่าน่ะครับ ทางโน้นเค้าถามอะไรคุณบ้างล่ะครับ เจ๊บอกว่า
"เค้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากเหมือนคุณหรอก บอกเพียงแต่ว่าให้ตั้งใจทำงาน
เรียนรู้งาน ก็แค่นั้นเอง"
โกก็เลยบอกว่า "เพราะยังงั้นไงครับ
เพราะเค้าไม่ได้ถามอะไรคุณไงครับ เค้าถึงไม่รู้ว่าคุณจะอยู่กับเค้าแค่ 3
เดือนแล้วก็ลาออกไปหาที่ทำงานใหม่
เพราะตอนนี้นี้คุณรู้สึกว่าที่ทำงานมันไกลบ้านเหลือเกิน
ไม่เหมือนกับวันแรกที่คุณไปของานเขาทำ.. ฯลฯ"
แล้วเธอก็จากไป
โกช้ำใจมากเลยอ่ะ อย่างที่บอกนั่นแหละว่าสัมภาษณ์งานมาเยอะ
(มากกว่าถูกสัมภาษณ์เองแยะ) แต่ไม่เคยเจอกรณีแบบนี้เลย.
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555
ลำบากจังเลย
วันนี้เพิ่งขึ้นธรรมาสเทศนาให้น้องๆได้ฟังกัน เรื่องความยากลำบากในการดำรงค์ชีวิตของพวกเรากันเอง ที่ทำงานเป็นพนักงานระดับบริหารของโรงแรม หลายคนบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้ งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เครียด กลับไปบ้านก็เครียด ลูก-เมีย สารพัดสารเพ ไหนจะคนใช้ที่บ้านอีก (อันหลังนี่ โกหมายถึงว่าน้องๆเค้าบ่นให้ฟังนะครับ ที่บ้านโกไม่มีคนใช้ ที่เราหมายถึงลูกจ้าง บ้านโกมีแต่คนใช้ แบบที่ชี้นิ้วสั่งให้โกทำโน่นทำนี่ตลอดอ่ะ) ทำงานอยู่ในโรงแรมทุกวันนี้ มันลำบากยากแค้นเหลือแสน เค้าว่า.. แต่โกว่าไม่ใช่อ่ะ
เช้าลืมตาแคว่กตื่นขึ้นมา เข้าห้องน้ำอาบน้ำ เปิดก๊อกก็มีน้ำไหลออกมา ไม่ต้องไปตักไปหาบมาจากไหน แถมยังเป็นน้ำร้อนผสมน้ำเย็นอีกต่างหาก หน้าหนาวก็อาบน้ำอุ่นมากหน่อย หน้าร้อนก็อาบน้ำเย็น ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่เสีย สบายดี
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินไปกินข้าวที่ห้องอาหาร โห... เวรและกรรมตามมาเห็นๆ อาหารวางให้เลือกอยู่ประมาณ 50 อย่าง กรูจะกินอะไรละวะเนี่ยะ ลำบากยากเย็นต่อการตัดสินใจเสียเหลือเกิน แค่นๆ ตักอาหารใส่จานมานั่งที่โต๊ะ เงยหน้าขึ้นมา น้องพนักงานเสิร์ฟเดินมายืนยิ้มอยู่ข้างๆแล้ว “รับกาแฟร้อนนะคะ” แหม.. รู้ใจซะด้วย ก็ของมันเคยเสิร์ฟกันอยู่ทุกวันนี่นา ลำบากต้องนั่งคอยแป๊บนึงอีกแล้วนะ
กินเสร็จ เด็กก็มาเก็บกวาดบนโต๊ะอาหารให้ ลำบากเราไม่ต้องเก็บเอง ไอ้ที่เหนื่อยจริงๆ ก็คือต้องออกแรงไปตวัดปากกาเซ็นชื่อในบิลล์เท่านั้น เซ็นเฉยๆเป็นหลักฐานว่าได้มารับประทานอาหารมื้อนี้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินจ่ายทองแต่ประการใด ลำบากนะเนี่ยะ ที่พูดมาทั้งหมดนี่มัน 3 มื้อนะครับท่าน เค้าบังคับให้กินวันละ 3 มื้อ รวมถึงหวัดหยุดก็บังคับกลายๆว่า ถ้าไม่ออกไปเที่ยวซุกซนที่ไหนก็เข้ามากินด้วยนะ ลำบากใจมั้ยละครับท่าน
กระโดดข้ามไปหน่อยเรื่องตื่นนอนแล้วไปอาบน้ำ จะบอกว่าผ้าเช็ดตัวก็ไม่ต้องซักเองนะ ที่นอนก็ไม่ต้องอะไรมาก พอเราสะบัดตูดออกจากห้องไป เดี๋ยวเดียวก็จะมีเด็กแม่บ้านแอบย่องเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ เค้าก็จะปูที่หลับปัดที่นอนให้เรียบร้อย เก็บกวาดเช็ดถูพื้นห้อง ทำความสะอาดห้องน้ำ เหมือนกันกับที่เค้าต้องทำให้กับห้องพักของลูกค้าที่จ่ายเงินเข้ามานอน,ฉันใดก็ฉันเพล แต่ของเราไม่ต้องเสียเงิน ลำบากมั้ยล่ะ แถมในห้องที่เค้าจัดให้นอนก็แสนจะสบาย นอนคนเดียว ตู้เตียงโต๊ะเครื่องแป้งมีพร้อมมูล ตู้เย็นก็มี ทีวีก็มี ห้องนอนก็ติดแอร์นะ ไม่ใช่เอาพัดลมมาเป่าตูดที่ไหน มันจะลำบากก็ตรงอีนอนคนเดียวนี่ละม้าง..
พูดเรื่องกระโดด ก็จะย้อนกลับไปพูดเรื่องแต่งตัวอีกนิด ทุกวันนี้โรงแรมเค้าก็ตัดเครื่องแบบให้ใส่นะ เสื้อสูท 2 ตัว กางเกงอีก 2 ตัว แต่ถ้ามันไม่พอใส่ โกว่าเอ็งก็ซื้อหามาใส่กันเองบ้างเถอะวะ จะได้ใช้เงินให้มันหมุนๆออกไปบ้าง ซักรอบก็ยังดี นอกจากนี้เค้ายังแถมมีบริการซักรีดอีกต่างหากนะพระคุณท่าน จะลำบากก็อีตอนที่ต้องไปรับ-ส่งที่ซักรีดนี่แหละ
ชีวิตพวกน้องๆ นี่มันลำบากตรงไหน(วะ) โกอยากรู้
เป็นผู้บริหารงานระดับหัวหน้าแผนก มีลูกน้องคอยทำงานเป็นแขนเป็นขาเป็นมือเป็นเท้าให้ด้วยกันทั้งนั้น ไอ้ที่จะต้องลงมือทำเองก็มีแค่ไม่กี่อย่าง จะลำบากก็อีตรงต้องคอยควบคุมให้ลูกน้องตัวเองทำงานตามที่เราวางนโยบายเอาไว้เท่านั้น ซึ่งถ้ารู้จักบริหารคนดีๆแล้ว ก็ไม่น่าจะเหนื่อยยากอะไร ตัวเราเองก็รับผิดชอบงานในหน้าที่ของเราให้ดี ก็แค่นั้นเอง
มองไปรอบๆตัวของเราในโลกกว้าง มีคนอีกมากมายก่ายกองที่เค้า “ลำบากกว่าเรา” และพวกเขาเหล่านั้น “ลำบาก” จริงๆ ลำบากประเภทที่วันๆไม่รู้จะกินอะไร ลำบากแบบที่ต้องเอาน้ำลูบท้อง เคยได้ยินใช่มั้ยครับ แต่พวกเราหลายๆคนตอนนี้รู้สึกลำบาก เพราะไม่รู้จะเลือกกินอะไร มันเบื่อๆ มันน่าจะให้อดซะให้เข็ดนะเนี่ยะ
พวกเราไม่ต้องซักผ้าเองไม่ต้องรีดเสื้อผ้าเอง ไม่ต้องกวาดถูทำความสะอาดบ้านเอง ห้องน้ำก็ไม่ต้อง มีคนทำให้เสร็จเรียบร้อย เราไม่ต้องทำกับข้าวเองไม่ต้องเก็บโต๊ะเอง ถึงเวลาก็มีคนมาปฏิบัติพัดวีให้ ยังจะมาบ่นว่าลำบาก มันลำบากตรงไหน(วะ)
ลูกน้องของเราเอง ผู้ชายเหมือนเรา มีเมีย 1 คน ลูก 1 คน สมมุติว่าเหมือนเราก็แล้วกัน แต่เค้าเงินเดือนน้อยกว่าเรา 5 เท่า ทำไมเขายังเลี้ยงชีพอาตมาอยู่ได้ด้วยเงินเดือนน้อยนิด ภาระหน้าที่ของเขาเหนื่อยยากกว่าเราด้วยซ้ำ บางคนต้องตื่นมาเข้าเวรตั้งกะตี 5 ซึ่งเราไม่เคย บางคนต้องเลิกงานเที่ยงคืน แต่พวกเราเข้าเวรเลิก 4 ทุ่มเดือนละ 3 ครั้ง ก็บ่นกันประปอดประแปดแล้ว
จะบ่นอะไรกันนักหนาจ๊ะ
ดาวลูกไก่
วันนี้ตั้งใจเข้ามาเขียนขอบคุณ "Google" โดยเฉพาะเลย แม่เจ้าเหวย เจ้าเว้ย
มันทำให้การค้นหาอะไรๆ ที่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถามใครๆ ก็ไม่ได้ มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ พับผ่าสิเอ้า.. ข้าพเจ้าขอคารวะ ด้วยความจริงใจ
ลองดูแหล่ข้างล่างนี่เป็นตัวอย่างนะครับ
โกเคยฟังและชอบแหล่นี้ มาตั้งแต่เมื่อประมาณเมื่อ 30 กว่าปีก่อน วันนี้นึกถึงขึ้นมา แม้แต่ก็จำเนื้อไม่ได้แล้ว หันหน้าไปถามใครก็ยาก แต่สามารถค้นได้จาก "อากู๋" นี่แหละ
ดาวลูกไก่ (ภาค 1)
โอ้ชีวิต คิดไฉน ใครหนอใครลิขิต
บ้างก็พูดกันผิดๆ ว่าเป็นความผิดพระศิวะ
จึงขอศรัทธาสาธก เรื่องยาจกจนยาก
มีสองตายายตายซาก ปลูกรกรากอยู่ริมทางเปลี่ยว
แกเลี้ยงแม่ไก่หลง มีลูกในกรงเจ็ดตัว
พอเช้าก็ออกริมรั้ว จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าวเหนียว
เวลาอีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ แม่ก็โอบปีกแผ่
เรียกลูกมาซุกจั๊กกะแร้ ลูกบอกว่าแม่เหม็นเขียว
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต เมื่อใกล้อาทิตย์อัสดง
ยังมีภิกษุหนึ่งองค์ เดินออกจากดงยืนเยี่ยว
ธุดงค์เดียวด้นดั้น เมื่อสายัณห์ใกล้มืด
อากาศก็เริ่มเย็นชืด พระสวมเสื้อยืดสีเขียว
อยากรู้เรื่องต่อกันแล้ว อ่านต่อภาคสองเลยเชียว ..
ดาวลูกไก่ (ภาค 2)
พระธุดงค์ลงมุ้ง ตะวันก็มุ่งลับไม้
ส่วนพระจะนอนท่าไหน ก็ไม่มีใครข้องเกี่ยว
ฝ่ายว่าสองยายตา แกเกิดศรัทธาสามารถ
ปลุกพระให้ไปตลาด พระเลยไปฟาดก๋วยเตี๋ยว
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๊ยตอนแจ้ง
ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ยายทำหน้าแห้งนมเหี่ยว
ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินไหลหล่น
น้ำตาแม่ไก่ไหลวน เลยไหลไปปนกะเยี่ยว
ฝ่ายลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงจิต
พากันโดดไปคนละทิศ โดยที่ไม่คิดข้องเกี่ยว
ด้วยอานิสงส์ใจไม่ประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นไข่เจียว ..
มันทำให้การค้นหาอะไรๆ ที่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ถามใครๆ ก็ไม่ได้ มันง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากจริงๆ พับผ่าสิเอ้า.. ข้าพเจ้าขอคารวะ ด้วยความจริงใจ
ลองดูแหล่ข้างล่างนี่เป็นตัวอย่างนะครับ
โกเคยฟังและชอบแหล่นี้ มาตั้งแต่เมื่อประมาณเมื่อ 30 กว่าปีก่อน วันนี้นึกถึงขึ้นมา แม้แต่ก็จำเนื้อไม่ได้แล้ว หันหน้าไปถามใครก็ยาก แต่สามารถค้นได้จาก "อากู๋" นี่แหละ
ดาวลูกไก่ (ภาค 1)
โอ้ชีวิต คิดไฉน ใครหนอใครลิขิต
บ้างก็พูดกันผิดๆ ว่าเป็นความผิดพระศิวะ
จึงขอศรัทธาสาธก เรื่องยาจกจนยาก
มีสองตายายตายซาก ปลูกรกรากอยู่ริมทางเปลี่ยว
แกเลี้ยงแม่ไก่หลง มีลูกในกรงเจ็ดตัว
พอเช้าก็ออกริมรั้ว จิกกินเม็ดถั่วเม็ดข้าวเหนียว
เวลาอีเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบ แม่ก็โอบปีกแผ่
เรียกลูกมาซุกจั๊กกะแร้ ลูกบอกว่าแม่เหม็นเขียว
ถึงคราวจะสิ้นชีวิต เมื่อใกล้อาทิตย์อัสดง
ยังมีภิกษุหนึ่งองค์ เดินออกจากดงยืนเยี่ยว
ธุดงค์เดียวด้นดั้น เมื่อสายัณห์ใกล้มืด
อากาศก็เริ่มเย็นชืด พระสวมเสื้อยืดสีเขียว
อยากรู้เรื่องต่อกันแล้ว อ่านต่อภาคสองเลยเชียว ..
ดาวลูกไก่ (ภาค 2)
พระธุดงค์ลงมุ้ง ตะวันก็มุ่งลับไม้
ส่วนพระจะนอนท่าไหน ก็ไม่มีใครข้องเกี่ยว
ฝ่ายว่าสองยายตา แกเกิดศรัทธาสามารถ
ปลุกพระให้ไปตลาด พระเลยไปฟาดก๋วยเตี๋ยว
สักครู่หนึ่งตาจึงเอ่ย นี่แน่ะยายเอ๊ยตอนแจ้ง
ต้องเชือดแม่ไก่แล้วแกง ยายทำหน้าแห้งนมเหี่ยว
ฝ่ายแม่ไก่ได้ยิน น้ำตารินไหลหล่น
น้ำตาแม่ไก่ไหลวน เลยไหลไปปนกะเยี่ยว
ฝ่ายลูกไก่ทั้งเจ็ด เหมือนถูกเด็ดดวงจิต
พากันโดดไปคนละทิศ โดยที่ไม่คิดข้องเกี่ยว
ด้วยอานิสงส์ใจไม่ประเสริฐ ลูกไก่ไปเกิดเป็นไข่เจียว ..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)