การลาออกจากงานมันก็มีหลายแบบ หลายขนาด แล้วแต่จะเลือกกันไปตามความต้องการของแต่ละคนนะครับ และแน่นอนที่ว่ามันมีหลายสาเหตุด้วยเหมือนกัน สาเหตุหลักๆก็คือ ได้งานใหม่ที่ไฉไลกว่าเก่า ตำแหน่งสูงกว่าเก่า และ/หรือ เงินเดือนเยอะกว่าเก่า
ส่วนสาเหตุอื่นๆ เท่าที่จะนึกออก ได้แก่ :
- ไม่มีคนดูแลครอบครัว... ข้อนี้โกสัมภาษณ์แล้วกลายเป็นว่าสามีหึงก็มีเหมือนกันนะ ส่วนมากจะเป็นพนักงานหญิงที่ออกแนวขาวหมวย 5555, มีเด็กคนนึงมาลาออกกับโก ทำหน้าเศร้ามาก บอกว่าพี่น้องในบ้านลงความเห็นว่าหนูเงินเดือนน้อยที่สุด เลยให้ลาออกไปดูแลคุณแม่ที่ป่วยอยู่ พี่น้องคนอื่นๆ จะลงขันกันจ่ายเงินเดือนหนูเอง ฟังแล้วก็ชื่นใจ ครอบครัวนี้พี่น้องรักกันดีนะ หายไป 2 เดือน ได้ข่าวว่าเข้าทำงานอีกที่หนึ่งแล้ว เอ.. แล้วคุณแม่หายป่วยแล้วหรือไร ?
- แต่งงานไปอยู่ต่างเมืองหรือต่างประเทศ, สามีให้ลาออกไปเลี้ยงลูก... ข้อนี้สงวนไว้สำหรับคุณผู้หญิงที่มีสามีรวยเท่านั้นนะครับ ผู้ชายไม่เกี่ยว ข้อนี้ก็น่าเห็นใจนะ บางทีไปจ้างเค้าเลี้ยงลูกก็ทำใจไม่ได้ ลูกเราก็ไม่ใช่ลูกเค้า โดนตีบ้าง โดนทารุณบ้างก็มี อ่านเจอตามหน้า นสพ.เยอะแยะไป
- ไปทำกิจการส่วนตัว... ส่วนมากจะเป็นแนวพวกในครัวไปเปิดร้านอาหาร ขายของก็มากนะ พวกนี้คาดว่าประมาณ 75 % จะกลับเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างอีกครั้ง 555 โกเองก็เป็นหนึ่งในนั้นแหละ ไม่ต้องพูดดีไป
- โดนย้ายไปอยู่ต่างสาขาที่ต่างจังหวัด... เห็นคำสั่งแล้วทำใจไม่ได้ ปรับตัวไม่ทัน ลาออกดีกว่า คนพวกนี้จะไปว่าเค้าเรื่องมากก็ไม่ได้นะครับ แต่ละคนก็มีความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน แต่สำหรับโก นายสั่งปุ๊บ โกก็จัดกระเป๋าปั๊บ แค่นั้นเองไม่เรื่องมาก สงสัยอยู่อย่างว่า ถ้านายส่งไปอยู่สาขาต่างประเทศ คนพวกนี้จะไปรึเปล่า
- บ้านไกล... ข้อนี้ก่อนเซ็นอนุมัติให้ลาออกอยากจะขอเบิร์ดกะโหลกซะทีนึงฐานหมั่นไส้ ก็แล้วตอนที่มาสมัครงานทำไมบ้านเอ็งไม่ไกลวะ เพิ่งมารู้สึกว่าบ้านไกลทีหลังเนี่ยะนะ พวกนี้ความรู้สึกช้ามาก
- เบื่อที่ทำงานเดิม... โกก็เปลี่ยนงานเพราะสาเหตุนี้เหมือนกันนะครับ
- หนีหนี้... เบี้ยวแชร์... 555 อันนี้เจ็บแสบครับ เพราะคนข้างหลังเดือดร้อนกันหลายคน เจ้ามือหวย เจ้ามือแชร์น้ำตาร่วงหลังพวงมาลัยกันมาหลายคนแล้ว บอกแล้วก็ไม่ฟังว่าอย่าเล่น อย่าเล่น
- แพ้ภัยตัวเอง... ถ้าเข้าข่ายนี้ละก็ ส่วนมากแล้วอยู่ที่ไหนก็ยากนะครับ เพราะจะเข้ากับใครเค้าก็ไม่ได้ จะเป็นพวกที่เปลี่ยนที่ทำงานบ่อยๆ และจะถูกปฏิเสธการรับเข้าทำงานบ่อยๆด้วย ไม่มีที่ทำงานไหนอยากรับคนที่เปลี่ยนงานบ่อยเข้าทำงานหรอกครับ
- ลาออกประชดเจ้านาย... ประเภทไม่ได้ปรับเงินเดือนมา 2 ปีแล้ว หรือได้ปรับนิดเดียว ลาออกดีกว่า เฮ้อ... ก็ตกงานสิครับ หางานได้เร็ววันก็ดีไป หาไม่ได้ก็เอาน้ำลูบท้องไปพลางๆ
- ลาออกเช็ค Rating... คือความจริงไม่อยากออกหรอกแต่อยากได้เงินเดือนเพิ่ม เพราะคาดว่าถ้าเจ้านายยังอยากจะให้ทำงานอยู่ด้วยกันก็จะปรับเงินเดือนเพิ่มให้ พวกนี่อัตราเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% หมายความว่า ส่วนมากจะได้ออกสมใจ เพราะ Rating ตกกระทันหัน แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ เพราะคนพวกนี้เขาจะมีวิธีการแยบยล ภาพลักษณ์ดี Present เก่ง แต่ถ้าเจ้านายจับได้ไล่ทันก็ร่วง อิอิ
โกอยากจะบอกว่าคนเราที่ทำงานเป็นลูกจ้างเค้า เรามีโอกาสที่จะได้ลาออกจากงานกันทุกคนนั่นแหละครับ เพราะมันเป็นเรื่องของโอกาสในชีวิต มีไม่กี่คนหรอกครับที่เปลี่ยนงานเพียงเพราะอยากเปลี่ยน ส่วนมากก็จะเป็นการเปลี่ยนงานเพราะคาดหวังในสิ่งที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งสูงกว่าเดิม หรือรายได้ที่มากกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าการจะลาออกจากงานนั้น ขอให้ท่านทำตามระเบียบบริษัทฯ ก็เท่านั้นเอง อย่าให้เมื่อเราออกมาแล้วมีแต่เสียงด่าตามหลังมาเยอะแยะไปหมด
เวลาสัมภาษณ์งาน หากใครบอกว่าสามารถเริ่มงานได้ภายใน 3 วัน 5 วัน เพียงแค่ขอเวลาไปลาออกจากที่ทำงานเก่า แบบนี้โกไม่รับเข้าทำงานเลยนะครับ ถ้าจะทำแบบนี้ก็บอกไปเลยว่าตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้วยังจะดูดีเสียกว่า เพราะถ้าคุณทำแบบนี้กับที่ทำงานเดิมของคุณได้ คุณก็ทำแบบนี้กับที่ทำงานใหม่ได้เหมือนกัน.
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554
คดีฉ้อโกง
บ่ายแก่ๆ แก่มากๆ วันหนึ่ง โกได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้างานบัญชี แจ้งความว่าลูกน้องเขาคนหนึ่งมีพฤติกรรมฉ้อโกงบริษัทฯ โดยส่งเงินไม่ครบเมื่อปิดรอบการทำงาน สอบสวนเรียบร้อยแล้วเจ้าตัวก็สารภาพว่าเก็บเงินเอาไว้เอง เจ้าของเสียงดูเหมือนจะมั่นอกมั่นใจมาก หัวหน้างานของเด็กบอกมาเลยว่า “ผมไม่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้แล้ว เดี๋ยวผมจะส่งตัวไปให้พี่ดำเนินการต่อเลยนะครับ”.
พี่หัวหน้าครับ ไอ้เรื่องฉ้อโกงเนี่ยะ ข้อหาฉะกันเลยนะครับ ผิดจริงก็เอาออกจากงานสถานเดียวเท่านั้นเอง.
แต่บังเอิญไอ้บ่ายแก่ๆ ที่ว่านั่นน่ะมันบ่ายวันเสาร์ โกก็เหงาๆอยากกลับบ้านแล้ว ก็เลยบอกพี่หัวหน้าเค้าไปว่า “เอายังงี้นะ วันนี้ให้เด็กคนนั้นมันเลิกงานกลับบ้านไปเลยก็แล้วกัน ปิดรอบนับเงินกันให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจอกับพี่ กี่โมงดี สิบโมงแล้วกัน” พี่หัวหน้าเค้าก็สวนกลับมาว่า “โห.. พี่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์” อ้าววว แล้วไง “ผมก็จะนอนตื่นสายไงครับพี่” เวงเอ้ยยย.. กรูก็หยุดวันอาทิตย์เหมือนกันนะว้อย งั้นจะมากี่โมง “บ่ายโมงแล้วกันครับพี่” เอ้า บ่ายก็บ่าย. อิอิ
ที่สุดก็มาพบกันครบถ้วน จำเลยคนนึง หัวหน้างานคนนึง หัวหน้ารอบอีกสอง แน่นห้องไปหมดเลย สอบไปสอบมา ได้ความว่า..
มีลูกค้ามากินกาแฟสองแก้ว ราคา 100 บาท ลูกค้าจ่ายมาสี่เหรียญ บวกลบคูณหารแล้วเป็นเงิน 118 บาท เกินมา18 บาท ทำไงดี ลูกค้าใจดีเลยบอกว่า ทิปแล้วกัน แต่ดันลืมบอกไปว่าทิปใคร ทิปพนักงานเสิร์ฟหรือทิปแคชเชียร์
ลืมเล่าว่าตอนจ่ายเงิน ลูกค้าไม่ได้นั่งรอที่โต๊ะแต่เดินมาจ่ายเงินที่เคาเตอร์แคชเชียร์เลย เด็กเสิร์ฟก็ยืนรอ(ทิป)อยู่ด้วย ซึ่งแคชเชียร์ก็ไม่ได้เอาเงินให้เด็กเสิร์ฟหรือเอาเงินใส่กล่องทิปหรอกนะ แต่เก็บเอาไว้เอง
แล้วมันเป็นเรื่องขึ้นมาได้ยังไง?
เจ้าแคชเชียร์ปิดรอบของตัวเรียบร้อย ดันแจ้งหัวหน้ารอบว่ามีเงินเกินอยู่ 18 บาท แต่ตอนนับเงินในซองมีเงินเกินมาจริงๆแค่บาทเดียว หัวหน้ารอบเค้าก็เลยเรียกมาถาม ถามไปถามมาก็เลยกลายเป็นว่าแคชเชียร์ไม่ส่งเงิน หรือส่งเงินไม่ครบอย่างที่เล่ามาให้ฟังนั่นแล.
แล้วโกว่าไง?
โกก็ว่า เรื่องนี้จะบอกว่าแคชเชียร์ฉ้อโกงก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะ เพราะลูกค้าบอกว่าเงินที่เหลือให้ทิปไม่ใช่เหรอ? มีพยานเป็นพนักงานเสิร์ฟช่วยยืนยันให้มิใช่เหรอ? ซึ่งเรื่องนี้โกก็สำทับไปแล้วว่าหากสอบพบในภายหลังว่าพยานให้การเท็จ โกเอาออกจากงานทั้งสองคนเลยนะ เมื่อพยานยืนยันหนักแน่น ข้อหาอุ๊บอิ๊บเงินหลวงก็เป็นอันตกไป
ทีนี้ทางหัวหน้าแผนกกับหัวหน้างานเค้าทำท่าจะไม่ยอมอ่ะดิ ก็เลยขุดกันมาใหญ่เลยเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องของเด็กคนนั้น โกก็นั่งฟังหูห้อยไปเลย ฟังจนจบสิ้นกระบวนท่าเค้าแล้ว โกก็สรุปให้ฟังว่า
1. เรื่องโกงเงินหลวงน่ะเอาผิดไม่ได้หรอก เพราะถ้าหากว่าแคชเชียร์เอาเงินให้พนักงานเสิร์ฟไปหรือเอาใส่กล่องทิป คุณจะเอาเรื่องเค้ามั้ย? คำตอบคือไม่
2. คราวนี้พี่ท่านยกเอาข้อหาอื่นๆมาโปะใส่หัวเด็ก ถามว่าที่ผ่านมาทำไมประวัติเด็กมันถึงได้ขาวสะอาดเป็นผ้าเพิ่งซักยังงี้ ไม่เคยถูกเตือน ไม่เคยถูกตำหนิ ไม่เคยเรียกมาพบฝ่ายบุคคล อยู่ไม่อยู่คุณจะมาบอกว่าจะไม่เอาเด็กคนนี้แล้ว ฝ่ายบุคคลทำไม่ได้ ทำไม่เป็นว้อยยยยย.. เข้าใจป่าว? (คำตอบคือเงียบ)
3. ไอ้ที่ควรจะโดนด่าและโดนพิจารณาก็พวกคุณ 3 คนนี่แหละ ปล่อยปละละเลยกันมาได้ยังไง ทำไมไม่ตักเตือน ไม่จัดการอะไรไปตามขั้นตอนอย่างที่มันควรจะเป็น เข้าใจมั้ยยยยย (คำตอบเสียงอ่อยมาก)
4. ฮ่วยยยยย.. Get out of me แล้วก็แยกย้ายกันไป
แต่.. แต่ช้าแต่ อย่าเพิ่งดีใจไปว่าจะรอดนะไอ้น้อง โกเล่นงานน้องได้อีกข้อหานะจ๊ะ 5555 ข้อหาอมค่าทิปไงจ๊ะ
แล้วยังไงล่ะทีนี้ คือยังงี้ครับ ฐานความผิดต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆน่ะ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ ส่วนใหญ่แล้วถ้าผิดจริงก็จะโดนออกจากงานกัน(เกือบ)ทั้งหมดนั่นแหละครับ เป็นการตัดไปเสียแต่ต้นลม เราถือว่าเงินนิดๆหน่อยๆ คุณยังเบียดบังเอาไปได้ คราวหน้าถ้าคุณมีโอกาสคุณก็จะเล่นของใหญ่จัดหนักไปเลย บริษัทฯก็สวัสดีลาก่อนเท่านั้นเอง สำหรับที่ทำงานของโก ความผิดเรื่องอมเงินค่าทิปถือเป็นความผิดร้ายแรงในหมวดการทุจริตด้านการเงินลงโทษด้วยการปลดออกจากงานสถานเดียว ถามว่ากรณีของเด็กแคชเชียร์รายนี้ จะต้องถูกลงโทษด้วยการปลดออกจากงานได้มั้ย?
โกว่า ถ้าจะใจร้ายใจดำก็ปลดได้นะครับ แต่กรณีนี้โกไม่ปลดครับเพราะตอนที่แคชเชียร์ทอนเงินให้ลูกค้า ลูกค้าบอกว่าให้ทิป ถึงจะฟังไม่ได้ชัดๆว่าให้ใคร แต่ก็ยังมีพนักงานอีกคนมายืนยันอีก เนอะ.. อีกอย่างนึงก็คือว่าบทบัญญัติของแผนกเกี่ยวกับเรื่องการอมทิปก็ไม่ได้มีบัญญัติเอาไว้ (พลาดไปแล้ว) จะไปเอาผิดเรื่องนี้แล้วปลดออกเลยมันก็กระไรอยู่นะครับ
เขียนมาตั้งยาว โกอยากบอกแค่ว่าการจะตัดสินความผิดของพนักงานไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามขอให้ยึดความยุติธรรมไว้เป็นที่ตั้งครับ ต้องเป็นความยุติธรรมที่มาจากทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ควบคู่กันไป ยึดกฏระเบียบหรือนิติศาสตร์นำหน้าอย่างเดียวโดดๆ กลุ่มแรงงานสัมพันธ์เค้าโกรธตายเลยนะครับ.
พี่หัวหน้าครับ ไอ้เรื่องฉ้อโกงเนี่ยะ ข้อหาฉะกันเลยนะครับ ผิดจริงก็เอาออกจากงานสถานเดียวเท่านั้นเอง.
แต่บังเอิญไอ้บ่ายแก่ๆ ที่ว่านั่นน่ะมันบ่ายวันเสาร์ โกก็เหงาๆอยากกลับบ้านแล้ว ก็เลยบอกพี่หัวหน้าเค้าไปว่า “เอายังงี้นะ วันนี้ให้เด็กคนนั้นมันเลิกงานกลับบ้านไปเลยก็แล้วกัน ปิดรอบนับเงินกันให้เรียบร้อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาเจอกับพี่ กี่โมงดี สิบโมงแล้วกัน” พี่หัวหน้าเค้าก็สวนกลับมาว่า “โห.. พี่ พรุ่งนี้วันอาทิตย์” อ้าววว แล้วไง “ผมก็จะนอนตื่นสายไงครับพี่” เวงเอ้ยยย.. กรูก็หยุดวันอาทิตย์เหมือนกันนะว้อย งั้นจะมากี่โมง “บ่ายโมงแล้วกันครับพี่” เอ้า บ่ายก็บ่าย. อิอิ
ที่สุดก็มาพบกันครบถ้วน จำเลยคนนึง หัวหน้างานคนนึง หัวหน้ารอบอีกสอง แน่นห้องไปหมดเลย สอบไปสอบมา ได้ความว่า..
มีลูกค้ามากินกาแฟสองแก้ว ราคา 100 บาท ลูกค้าจ่ายมาสี่เหรียญ บวกลบคูณหารแล้วเป็นเงิน 118 บาท เกินมา18 บาท ทำไงดี ลูกค้าใจดีเลยบอกว่า ทิปแล้วกัน แต่ดันลืมบอกไปว่าทิปใคร ทิปพนักงานเสิร์ฟหรือทิปแคชเชียร์
ลืมเล่าว่าตอนจ่ายเงิน ลูกค้าไม่ได้นั่งรอที่โต๊ะแต่เดินมาจ่ายเงินที่เคาเตอร์แคชเชียร์เลย เด็กเสิร์ฟก็ยืนรอ(ทิป)อยู่ด้วย ซึ่งแคชเชียร์ก็ไม่ได้เอาเงินให้เด็กเสิร์ฟหรือเอาเงินใส่กล่องทิปหรอกนะ แต่เก็บเอาไว้เอง
แล้วมันเป็นเรื่องขึ้นมาได้ยังไง?
เจ้าแคชเชียร์ปิดรอบของตัวเรียบร้อย ดันแจ้งหัวหน้ารอบว่ามีเงินเกินอยู่ 18 บาท แต่ตอนนับเงินในซองมีเงินเกินมาจริงๆแค่บาทเดียว หัวหน้ารอบเค้าก็เลยเรียกมาถาม ถามไปถามมาก็เลยกลายเป็นว่าแคชเชียร์ไม่ส่งเงิน หรือส่งเงินไม่ครบอย่างที่เล่ามาให้ฟังนั่นแล.
แล้วโกว่าไง?
โกก็ว่า เรื่องนี้จะบอกว่าแคชเชียร์ฉ้อโกงก็ฟังไม่ขึ้นหรอกนะ เพราะลูกค้าบอกว่าเงินที่เหลือให้ทิปไม่ใช่เหรอ? มีพยานเป็นพนักงานเสิร์ฟช่วยยืนยันให้มิใช่เหรอ? ซึ่งเรื่องนี้โกก็สำทับไปแล้วว่าหากสอบพบในภายหลังว่าพยานให้การเท็จ โกเอาออกจากงานทั้งสองคนเลยนะ เมื่อพยานยืนยันหนักแน่น ข้อหาอุ๊บอิ๊บเงินหลวงก็เป็นอันตกไป
ทีนี้ทางหัวหน้าแผนกกับหัวหน้างานเค้าทำท่าจะไม่ยอมอ่ะดิ ก็เลยขุดกันมาใหญ่เลยเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องของเด็กคนนั้น โกก็นั่งฟังหูห้อยไปเลย ฟังจนจบสิ้นกระบวนท่าเค้าแล้ว โกก็สรุปให้ฟังว่า
1. เรื่องโกงเงินหลวงน่ะเอาผิดไม่ได้หรอก เพราะถ้าหากว่าแคชเชียร์เอาเงินให้พนักงานเสิร์ฟไปหรือเอาใส่กล่องทิป คุณจะเอาเรื่องเค้ามั้ย? คำตอบคือไม่
2. คราวนี้พี่ท่านยกเอาข้อหาอื่นๆมาโปะใส่หัวเด็ก ถามว่าที่ผ่านมาทำไมประวัติเด็กมันถึงได้ขาวสะอาดเป็นผ้าเพิ่งซักยังงี้ ไม่เคยถูกเตือน ไม่เคยถูกตำหนิ ไม่เคยเรียกมาพบฝ่ายบุคคล อยู่ไม่อยู่คุณจะมาบอกว่าจะไม่เอาเด็กคนนี้แล้ว ฝ่ายบุคคลทำไม่ได้ ทำไม่เป็นว้อยยยยย.. เข้าใจป่าว? (คำตอบคือเงียบ)
3. ไอ้ที่ควรจะโดนด่าและโดนพิจารณาก็พวกคุณ 3 คนนี่แหละ ปล่อยปละละเลยกันมาได้ยังไง ทำไมไม่ตักเตือน ไม่จัดการอะไรไปตามขั้นตอนอย่างที่มันควรจะเป็น เข้าใจมั้ยยยยย (คำตอบเสียงอ่อยมาก)
4. ฮ่วยยยยย.. Get out of me แล้วก็แยกย้ายกันไป
แต่.. แต่ช้าแต่ อย่าเพิ่งดีใจไปว่าจะรอดนะไอ้น้อง โกเล่นงานน้องได้อีกข้อหานะจ๊ะ 5555 ข้อหาอมค่าทิปไงจ๊ะ
แล้วยังไงล่ะทีนี้ คือยังงี้ครับ ฐานความผิดต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆน่ะ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ ส่วนใหญ่แล้วถ้าผิดจริงก็จะโดนออกจากงานกัน(เกือบ)ทั้งหมดนั่นแหละครับ เป็นการตัดไปเสียแต่ต้นลม เราถือว่าเงินนิดๆหน่อยๆ คุณยังเบียดบังเอาไปได้ คราวหน้าถ้าคุณมีโอกาสคุณก็จะเล่นของใหญ่จัดหนักไปเลย บริษัทฯก็สวัสดีลาก่อนเท่านั้นเอง สำหรับที่ทำงานของโก ความผิดเรื่องอมเงินค่าทิปถือเป็นความผิดร้ายแรงในหมวดการทุจริตด้านการเงินลงโทษด้วยการปลดออกจากงานสถานเดียว ถามว่ากรณีของเด็กแคชเชียร์รายนี้ จะต้องถูกลงโทษด้วยการปลดออกจากงานได้มั้ย?
โกว่า ถ้าจะใจร้ายใจดำก็ปลดได้นะครับ แต่กรณีนี้โกไม่ปลดครับเพราะตอนที่แคชเชียร์ทอนเงินให้ลูกค้า ลูกค้าบอกว่าให้ทิป ถึงจะฟังไม่ได้ชัดๆว่าให้ใคร แต่ก็ยังมีพนักงานอีกคนมายืนยันอีก เนอะ.. อีกอย่างนึงก็คือว่าบทบัญญัติของแผนกเกี่ยวกับเรื่องการอมทิปก็ไม่ได้มีบัญญัติเอาไว้ (พลาดไปแล้ว) จะไปเอาผิดเรื่องนี้แล้วปลดออกเลยมันก็กระไรอยู่นะครับ
เขียนมาตั้งยาว โกอยากบอกแค่ว่าการจะตัดสินความผิดของพนักงานไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตามขอให้ยึดความยุติธรรมไว้เป็นที่ตั้งครับ ต้องเป็นความยุติธรรมที่มาจากทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ควบคู่กันไป ยึดกฏระเบียบหรือนิติศาสตร์นำหน้าอย่างเดียวโดดๆ กลุ่มแรงงานสัมพันธ์เค้าโกรธตายเลยนะครับ.
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ภาษาไทย ภาษาแม่
เกิดมาเป็นคนไทย อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ต้องรู้และเข้าใจภาษาไทยนะครับ
เราจะต้องไม่อายฝรั่งหรือคนชาติอื่นที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยของเรา แล้วเขาพูดภาษาไทยเก่งกว่าเรา
ยอมไม่ได้เด็ดขาดนะครับ
เพราะมันไม่ใช่การพูดภาษาที่ 2-3-4 ถ้าเราจะไม่เก่ง เรื่องนั้นไม่เป็นไร เพราะเรามีคำพูดกันอยู่แล้วว่า
“ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่..” ก็เมื่อมีข้ออ้างกันซะยังงั้น แล้วภาษาพ่อภาษาแม่ของเราเป็นอย่างไรกันบ้างละครับ?
สมัยก่อนโกเรียนหนังสือมาด้วยระบบท่องจำซะส่วนหนึ่ง จะแบบนกแก้วนกขุนทองอย่างที่ใครเค้าค่อนขอดนินทาว่าร้ายก็ตามทีเถิด
แต่โกว่ามันก็ดีอยู่หรอกนะ เพราะทำให้โกได้รู้จักกับ
“บัดนั้น พญาภิเภกยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี อสุรีกราบลงกับบาทา..”
ท่องกันเข้าไป อูยยย... กว่าจะจำได้หมด
แต่สมัยใหม่นี่ เค้าเลิกให้เด็กนักเรียนท่องอาขยานกันแล้วมั้งครับ เค้าหาว่ามันบ้าบอคอแตก โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ทันสมัยอะไรไปโน่น มันต้องเรียนแบบเข้าใจ Learning by Doing ถึงจะเท่ ถึงจะเข้าใจถ่องแท้
แล้วมันเรียนมันสอนกันยังไงไม่รู้ จบปริญญาตรีกันออกมา โกว่ามันก็ฟายๆ ซะตั้งเยอะ ไม่เห็นจะทำ 5 อะไรเป็น
โกไม่ได้ว่าใครนะจ๊ะ แต่กำลังด่าระบบการศึกษาของประเทศไทยอยู่ ถ้าอยากให้บอกว่าจะด่าใครซักคน โกอยากด่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการทุกคน ถอยหลังไป 7-8 คนก็ได้
สมัยก่อนโน้น ครูถือไม้เรียวยาวเป็นวา โกเคยโดนครูตีเพราะไม่ส่งงานหัตถกรรมหนนึง เนื้อแตกเลยขอบอก
แอบด่าพ่อล่อแม่ครูไป 3-4 วัน เพราะนั่งลงทีไรมันเจ็บแปล๊บทุกที เอาแผลไปฟ้องที่บ้านแต่ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร
ไทยเรามีคำพังเพยอยู่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” โกเชื่อสนิทใจว่ามันถูกต้อง แต่เนื่องจากฝรั่งมันไม่ตีลูกเหมือนคนเอเซีย
คนไทยก็เลยเดินตามก้นฝรั่งต้อยๆไป
แต่การจะตีลูกหรือตีนักเรียน มันก็ต้องมีกระบวนการที่ถูกต้องด้วยนะครับ ไม่ใช่นึกอยากตีก็ตี ตีด้วยอารมณ์ ตีด้วยความโมโห
อันนั้นไม่นับครับ โกเคยเรียกเด็กจะมาตีเพื่อลงโทษ ก่อนจะตีก็ดุด่าว่ากล่าวบอกให้ทราบถึงความผิดของเค้า
สิ่งที่เค้าทำมันจะเกิดโทษอย่างไร เทศนาไปเรื่อยสุดท้ายก็เหนื่อยเพราะพูดมาก เลยไม่ได้ตี แต่ลงโทษอย่างอื่นแทน
โกเกิดมาในชีวิตนี้ถูกแม่ตีบ่อย แต่หลายๆครั้งแม่ก็เปลี่ยนจากตีเป็นสั่งให้คัดลายมือ
ขอโทษที ปัจจุบันลายมือโกสวยขนาดคัดลายมือประกวดได้ พี่ชายเคยทำโทษด้วยการขีดวงกลมให้อยู่ เมื่อยชิบเป๋งเลย..
เคยโดนพ่อตีครั้งเดียวในชีวิต เป็นไข้ไป 3 วัน
สมัยนี้ครูจะตีนักเรียนซักที ต้องทำหนังสือไปขออนุญาตจากกระทรวงก่อนมั้ง กว่าหนังสืออนุญาตจะกลับลงมาถึงโรงเรียน
เด็กก็เรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้ว พอดีไม่ต้องตีก้นมันเลย -ฮา-
เหอๆ โกออกทะเลอีกแล้ว จะพูดเรื่องภาษาไทย ดันไปออกแขกเรื่องตีก้นเด็ก กลับมา กลับมา
ภาษาไทยเราทุกวันนี้ มันแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเยอะแยะนะครับ แต่อย่าไปกังวลมาก เขาเป็นแฟชั่น
หมายความว่ามันก็จะมาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็จะหายไปตามยุคสมัย
ประเด็นคือเราต้องระวังรักษาแก่นของภาษาไทยของเราเอาไว้ให้ดี อย่าให้มันผิดเพี้ยนไป ไม่งั้นจะไม่มีภาษาให้พูดกัน
โกมีบทท่องจำสมัยโกเป็นเด็กมาฝากนะจ๊ะ คุณพ่อคุณแม่กรุณาคัดเอาไปฝากคุณลูก หัดท่องกันเข้าไว้
จะได้เขียนหนังสือไม่ผิดเหมือนพ่อแม่ตัวเอง -ฮา- อีกที
อาขยานบทนี้ เป็นเรื่องคำไทยที่ใช้ “บัน” อื่นๆนอกเหนือจากนี้ต้องใช้ “บรร” ทั้งหมด
บันดาลลงบันได บันทึกให้ดูจงดี
รื่นเริงบันเทิงมี บันลือลั่นสนั่นดัง
บันโดยบันโหยไห้ บันเหินไปจากรวงรัง
บันทึกถึงความหลัง บันเดินนั่งนอนบันดล
บันกวดเอาลวดรัด บันจวบจัดตกแต่งตน
คำบันนั้นฉงน ระวังปนกับรอหัน
ต่อมาเป็นเรื่องของ สระไอ มีไม้ม้วนกับไม้มลาย อาขยานบทนี้สอนถึงคำไทยที่ใช้ไม้ม้วนทั้งหมดครับ
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี
สุดท้ายของวันนี้ ว่าด้วยคำไทยที่ใช้ จ.จาน เป็นตัวสะกด อันนี้สมัยใหม่แล้วแต่ก็ดีนะครับ โกก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง
ขออนุญาตเอามาเผยแพร่ก็แล้วกันนะครัย
ตำรวจตรวจคนเท็จ เสร็จสำเร็จระเห็จไป
สมเด็จเสด็จไหน ตรวจตราไวดุจนายงาน
อำนาจอาจบำเหน็จ จรวดระเห็จเผด็จการ
ฉกาจรังเกียจวาน คนเกียจคร้านไม่สู้ดี
แก้วเก็จทำเก่งกาจ ประดุจชาติทรพี
โสรจสรงลงวารี กำเหน็จนี้ใช้ตัว จ.
ขอบคุณที่รักภาษาไทยนะจ๊ะ
โก
ปล. เขียนเอาไว้ที่บล๊อคอื่น ตั้งแต่เมื่อ 16 กพ.53
เราจะต้องไม่อายฝรั่งหรือคนชาติอื่นที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยของเรา แล้วเขาพูดภาษาไทยเก่งกว่าเรา
ยอมไม่ได้เด็ดขาดนะครับ
เพราะมันไม่ใช่การพูดภาษาที่ 2-3-4 ถ้าเราจะไม่เก่ง เรื่องนั้นไม่เป็นไร เพราะเรามีคำพูดกันอยู่แล้วว่า
“ไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่..” ก็เมื่อมีข้ออ้างกันซะยังงั้น แล้วภาษาพ่อภาษาแม่ของเราเป็นอย่างไรกันบ้างละครับ?
สมัยก่อนโกเรียนหนังสือมาด้วยระบบท่องจำซะส่วนหนึ่ง จะแบบนกแก้วนกขุนทองอย่างที่ใครเค้าค่อนขอดนินทาว่าร้ายก็ตามทีเถิด
แต่โกว่ามันก็ดีอยู่หรอกนะ เพราะทำให้โกได้รู้จักกับ
“บัดนั้น พญาภิเภกยักษี เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี อสุรีกราบลงกับบาทา..”
ท่องกันเข้าไป อูยยย... กว่าจะจำได้หมด
แต่สมัยใหม่นี่ เค้าเลิกให้เด็กนักเรียนท่องอาขยานกันแล้วมั้งครับ เค้าหาว่ามันบ้าบอคอแตก โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ทันสมัยอะไรไปโน่น มันต้องเรียนแบบเข้าใจ Learning by Doing ถึงจะเท่ ถึงจะเข้าใจถ่องแท้
แล้วมันเรียนมันสอนกันยังไงไม่รู้ จบปริญญาตรีกันออกมา โกว่ามันก็ฟายๆ ซะตั้งเยอะ ไม่เห็นจะทำ 5 อะไรเป็น
โกไม่ได้ว่าใครนะจ๊ะ แต่กำลังด่าระบบการศึกษาของประเทศไทยอยู่ ถ้าอยากให้บอกว่าจะด่าใครซักคน โกอยากด่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการทุกคน ถอยหลังไป 7-8 คนก็ได้
สมัยก่อนโน้น ครูถือไม้เรียวยาวเป็นวา โกเคยโดนครูตีเพราะไม่ส่งงานหัตถกรรมหนนึง เนื้อแตกเลยขอบอก
แอบด่าพ่อล่อแม่ครูไป 3-4 วัน เพราะนั่งลงทีไรมันเจ็บแปล๊บทุกที เอาแผลไปฟ้องที่บ้านแต่ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร
ไทยเรามีคำพังเพยอยู่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” โกเชื่อสนิทใจว่ามันถูกต้อง แต่เนื่องจากฝรั่งมันไม่ตีลูกเหมือนคนเอเซีย
คนไทยก็เลยเดินตามก้นฝรั่งต้อยๆไป
แต่การจะตีลูกหรือตีนักเรียน มันก็ต้องมีกระบวนการที่ถูกต้องด้วยนะครับ ไม่ใช่นึกอยากตีก็ตี ตีด้วยอารมณ์ ตีด้วยความโมโห
อันนั้นไม่นับครับ โกเคยเรียกเด็กจะมาตีเพื่อลงโทษ ก่อนจะตีก็ดุด่าว่ากล่าวบอกให้ทราบถึงความผิดของเค้า
สิ่งที่เค้าทำมันจะเกิดโทษอย่างไร เทศนาไปเรื่อยสุดท้ายก็เหนื่อยเพราะพูดมาก เลยไม่ได้ตี แต่ลงโทษอย่างอื่นแทน
โกเกิดมาในชีวิตนี้ถูกแม่ตีบ่อย แต่หลายๆครั้งแม่ก็เปลี่ยนจากตีเป็นสั่งให้คัดลายมือ
ขอโทษที ปัจจุบันลายมือโกสวยขนาดคัดลายมือประกวดได้ พี่ชายเคยทำโทษด้วยการขีดวงกลมให้อยู่ เมื่อยชิบเป๋งเลย..
เคยโดนพ่อตีครั้งเดียวในชีวิต เป็นไข้ไป 3 วัน
สมัยนี้ครูจะตีนักเรียนซักที ต้องทำหนังสือไปขออนุญาตจากกระทรวงก่อนมั้ง กว่าหนังสืออนุญาตจะกลับลงมาถึงโรงเรียน
เด็กก็เรียนจบมหาวิทยาลัยไปแล้ว พอดีไม่ต้องตีก้นมันเลย -ฮา-
เหอๆ โกออกทะเลอีกแล้ว จะพูดเรื่องภาษาไทย ดันไปออกแขกเรื่องตีก้นเด็ก กลับมา กลับมา
ภาษาไทยเราทุกวันนี้ มันแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเยอะแยะนะครับ แต่อย่าไปกังวลมาก เขาเป็นแฟชั่น
หมายความว่ามันก็จะมาเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็จะหายไปตามยุคสมัย
ประเด็นคือเราต้องระวังรักษาแก่นของภาษาไทยของเราเอาไว้ให้ดี อย่าให้มันผิดเพี้ยนไป ไม่งั้นจะไม่มีภาษาให้พูดกัน
โกมีบทท่องจำสมัยโกเป็นเด็กมาฝากนะจ๊ะ คุณพ่อคุณแม่กรุณาคัดเอาไปฝากคุณลูก หัดท่องกันเข้าไว้
จะได้เขียนหนังสือไม่ผิดเหมือนพ่อแม่ตัวเอง -ฮา- อีกที
อาขยานบทนี้ เป็นเรื่องคำไทยที่ใช้ “บัน” อื่นๆนอกเหนือจากนี้ต้องใช้ “บรร” ทั้งหมด
บันดาลลงบันได บันทึกให้ดูจงดี
รื่นเริงบันเทิงมี บันลือลั่นสนั่นดัง
บันโดยบันโหยไห้ บันเหินไปจากรวงรัง
บันทึกถึงความหลัง บันเดินนั่งนอนบันดล
บันกวดเอาลวดรัด บันจวบจัดตกแต่งตน
คำบันนั้นฉงน ระวังปนกับรอหัน
ต่อมาเป็นเรื่องของ สระไอ มีไม้ม้วนกับไม้มลาย อาขยานบทนี้สอนถึงคำไทยที่ใช้ไม้ม้วนทั้งหมดครับ
ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ
ใฝ่ใจเอาใส่ห่อ มิหลงใหลใครขอดู
จะใคร่ลงเรือใบ ดูน้ำใสและปลาปู
สิ่งใดอยู่ในตู้ มิใช่อยู่ใต้ตั่งเตียง
บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง
เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี
สุดท้ายของวันนี้ ว่าด้วยคำไทยที่ใช้ จ.จาน เป็นตัวสะกด อันนี้สมัยใหม่แล้วแต่ก็ดีนะครับ โกก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้แต่ง
ขออนุญาตเอามาเผยแพร่ก็แล้วกันนะครัย
ตำรวจตรวจคนเท็จ เสร็จสำเร็จระเห็จไป
สมเด็จเสด็จไหน ตรวจตราไวดุจนายงาน
อำนาจอาจบำเหน็จ จรวดระเห็จเผด็จการ
ฉกาจรังเกียจวาน คนเกียจคร้านไม่สู้ดี
แก้วเก็จทำเก่งกาจ ประดุจชาติทรพี
โสรจสรงลงวารี กำเหน็จนี้ใช้ตัว จ.
ขอบคุณที่รักภาษาไทยนะจ๊ะ
โก
ปล. เขียนเอาไว้ที่บล๊อคอื่น ตั้งแต่เมื่อ 16 กพ.53
คดีทำร้ายร่างกาย
คดีของโก หมายเลข 1 : คดีทำร้ายร่างกาย
สามทุ่มไม่กี่คืนก่อน โกรับแจ้งจากหัวหน้า รปภ.ว่า มีพนักงานชายถูกทำร้ายร่างกายโดยพนักงานอีกคนหนึ่งที่หอพักพนักงาน ตอนนี้จับตัวคนลงมือไปควบคุมตัวไว้ที่ป้อม รปภ. แล้ว, โอเค. พรุ่งนี้เช้า เอาตัวมาส่งที่ห้องทำงานฝ่ายบุคคลก็แล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีพนักงานหญิงมาร้องเรียนแต่เช้าเลย ว่ามีพนักงานชายคนหนึ่งมาใช้ถ้อยคำวาจาหยาบคายว่าเค้าเมื่อคืนนี้ หาว่าเธอเอาเรื่องส่วนตัวของเค้าคนนั้นไปโพนทะนา แต่หนูไม่ได้พูดนะ เอาล่ะ ฝ่ายบุคคลรับทราบ จะได้เรียกนายคนนั้นมาสอบสวนอีกครั้งนะจ๊ะ
สายหน่อยก็เรียกคดีทำร้ายร่างกายมาสอบสวน ได้ความว่าคนชกเป็นแฟนหนุ่มของสาวคนที่มาร้องเรียนตอนเช้านั่นแหละ คนโดนชกไปต่อว่าแฟนเค้าหยาบๆ คายๆ .. เข้าใจแล้วๆ มันพัวพันกันนิดหน่อย แบบนี้เอง
โกก็เลยแยกเรื่องนี้ออกเป็นสองเรื่อง เรื่องใช้วาจาหยาบคายเรื่องนึง เรื่องทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานอีกเรื่องนึง
เรื่องที่สองนี่ตัดสินไม่ยาก เพราะเป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ทะเลาะวิวาท โทษคือออกจากงานสถานเดียว เรื่องนี้ไม่มีเหตุให้บรรเทาใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากว่าบ่ายสามโมงวันเดียวกันกับวันเกิดเหตุ ได้มีการประชุมใหญ่พนักงานโรงแรมทั้งหมด เพื่อทบทวนชี้แจงเรื่องการทำงาน รวมถึงกฎระเบียบต่างๆที่พนักงานต้องปฏิบัติ รวมถึงฐานความผิดร้ายแรงที่ต้องปลดออกจากงานสถานเดียว หนึ่งในนั้นคือเรื่องการทำร้ายร่างกายและ/หรือทะเลาะวิวาท กรณีนี้เรียกว่าประชุมบ่ายสาม สองทุ่มต่อย เป็นไงล่ะ.
ส่วนเรื่องแรก โกเรียกคู่ความมาพบทั้งสองคนพร้อมด้วยหัวหน้าแผนก ความจริงมันก็มีเรื่องเดิมอยู่ คือเมียของผู้ชาย(คนโดนชก) เค้าหนีหายไป โดยหาว่าฝ่ายชายไปมีแฟนใหม่ทำนองนั้น ข้างผู้ชายก็บอกผมไม่มีๆ โกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณมีหรือไม่มี แย้มให้อีกหน่อยว่า ไอ้คนชกน่ะเป็นน้องเมีย เฮ้อ.. มันกลายเป็นเรื่องในครอบครัวไปซะแล้ว ทำไมมันไม่ไปชกกันที่บ้านนะ จะได้ไม่ต้องมาสอบสวน
แล้วเรื่องที่เค้าด่ากันนี่ โกก็บอกว่า ไอ้ตอนด่ากันโกก็ไม่ได้อยู่ด้วยนะ คนโดนด่าก็ไม่ได้อัดเทปเอามาให้ฟัง อีกทั้งยังไม่มีพยานบุคคลมายืนยันด้วยว่าด่าหยาบคายจริงหรือเปล่า แต่เนื่องจากฝ่ายชายรับว่าได้ไป “ต่อว่า” ฝ่ายหญิงจริงๆ โกก็อนุมาณเอาว่าก็คงจะเรียกว่า “ด่า” ได้แหละนะ เพราะไอ้เรื่องแบบนี้ จะมาพูดกันแบบจ๊ะๆ จ๋าๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันมิใช่ความผิดร้ายแรงอะไร ไม่ได้มีการลงไม้ลงมือ จิกหัวมาตบหรืออะไรแบบนั้น ก็เลยตักเตือนเอาไว้เป็นงานเป็นการ เพราะเราเป็นพนักงานด้วยกัน แถมยังอยู่แผนกเดียวกัน มาทะเลาะกันแบบนี้มันจะทำงานอยู่ด้วยกันยังไง บรา บรา บรา .. ขอให้เลิกแล้วกันไป อย่าประพฤติเยี่ยงนี้อีก สองฝ่ายก็ตอบรับแล้วจากไปด้วยดี
เรื่องน่าจะจบง่ายๆแบบนี้ แต่เปล่า เพราะโกจะทำเอกสารเป็นหลักฐานว่าได้ตักเตือนฝ่ายชายแล้วนะ แต่คุณหัวหน้าแผนกไม่ยอมเซ็นเอกสารให้ บอกว่าไอ้คนด่านี่นะ โดนออกใบเตือนมาแล้วสองครั้ง (เรื่องทำงานบกพร่อง)จึงขอให้การเตือนครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม โกก็บอกว่าไม่ได้นะจ๊ะ มันคนละเรื่องกันกับสองครั้งที่แล้ว เอามารวมกันบ่ได้ดอก ชีก็ไม่ยอมท่าเดียว “ถ้างั้นก็ไม่เซ็น” แล้วชีก็สะบัดตูดพรึ่บออกไปจากห้องทำงานโก ทิ้งให้โกยืนงงเป็นไก่หงอยอยู่คนเดียว. 5555
หัวหน้าแผนกน่ะ บางทีเค้าก็ไม่ฟังเราหรอกนะครับ เนื่องจากเขาหวังว่าเราจะช่วยลูกน้องเขาให้พ้นผิดได้ กรณีนี้ไม่รู้จะช่วยยังไง คนชกน่ะถึงจะขยันยังไงหรือจะดียังไง แต่กรณีนี้ช่วยยาก ก็อย่างที่บอกว่าอบรมบ่ายสามสองทุ่มชก แล้วก็เป็นฐานความผิดที่ต้องปลดออกจากงานสถานเดียว
ก็เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เผื่อใครจะมีความเห็นเป็นอื่น.
สามทุ่มไม่กี่คืนก่อน โกรับแจ้งจากหัวหน้า รปภ.ว่า มีพนักงานชายถูกทำร้ายร่างกายโดยพนักงานอีกคนหนึ่งที่หอพักพนักงาน ตอนนี้จับตัวคนลงมือไปควบคุมตัวไว้ที่ป้อม รปภ. แล้ว, โอเค. พรุ่งนี้เช้า เอาตัวมาส่งที่ห้องทำงานฝ่ายบุคคลก็แล้วกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น มีพนักงานหญิงมาร้องเรียนแต่เช้าเลย ว่ามีพนักงานชายคนหนึ่งมาใช้ถ้อยคำวาจาหยาบคายว่าเค้าเมื่อคืนนี้ หาว่าเธอเอาเรื่องส่วนตัวของเค้าคนนั้นไปโพนทะนา แต่หนูไม่ได้พูดนะ เอาล่ะ ฝ่ายบุคคลรับทราบ จะได้เรียกนายคนนั้นมาสอบสวนอีกครั้งนะจ๊ะ
สายหน่อยก็เรียกคดีทำร้ายร่างกายมาสอบสวน ได้ความว่าคนชกเป็นแฟนหนุ่มของสาวคนที่มาร้องเรียนตอนเช้านั่นแหละ คนโดนชกไปต่อว่าแฟนเค้าหยาบๆ คายๆ .. เข้าใจแล้วๆ มันพัวพันกันนิดหน่อย แบบนี้เอง
โกก็เลยแยกเรื่องนี้ออกเป็นสองเรื่อง เรื่องใช้วาจาหยาบคายเรื่องนึง เรื่องทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานอีกเรื่องนึง
เรื่องที่สองนี่ตัดสินไม่ยาก เพราะเป็นการทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่ทะเลาะวิวาท โทษคือออกจากงานสถานเดียว เรื่องนี้ไม่มีเหตุให้บรรเทาใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากว่าบ่ายสามโมงวันเดียวกันกับวันเกิดเหตุ ได้มีการประชุมใหญ่พนักงานโรงแรมทั้งหมด เพื่อทบทวนชี้แจงเรื่องการทำงาน รวมถึงกฎระเบียบต่างๆที่พนักงานต้องปฏิบัติ รวมถึงฐานความผิดร้ายแรงที่ต้องปลดออกจากงานสถานเดียว หนึ่งในนั้นคือเรื่องการทำร้ายร่างกายและ/หรือทะเลาะวิวาท กรณีนี้เรียกว่าประชุมบ่ายสาม สองทุ่มต่อย เป็นไงล่ะ.
ส่วนเรื่องแรก โกเรียกคู่ความมาพบทั้งสองคนพร้อมด้วยหัวหน้าแผนก ความจริงมันก็มีเรื่องเดิมอยู่ คือเมียของผู้ชาย(คนโดนชก) เค้าหนีหายไป โดยหาว่าฝ่ายชายไปมีแฟนใหม่ทำนองนั้น ข้างผู้ชายก็บอกผมไม่มีๆ โกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณมีหรือไม่มี แย้มให้อีกหน่อยว่า ไอ้คนชกน่ะเป็นน้องเมีย เฮ้อ.. มันกลายเป็นเรื่องในครอบครัวไปซะแล้ว ทำไมมันไม่ไปชกกันที่บ้านนะ จะได้ไม่ต้องมาสอบสวน
แล้วเรื่องที่เค้าด่ากันนี่ โกก็บอกว่า ไอ้ตอนด่ากันโกก็ไม่ได้อยู่ด้วยนะ คนโดนด่าก็ไม่ได้อัดเทปเอามาให้ฟัง อีกทั้งยังไม่มีพยานบุคคลมายืนยันด้วยว่าด่าหยาบคายจริงหรือเปล่า แต่เนื่องจากฝ่ายชายรับว่าได้ไป “ต่อว่า” ฝ่ายหญิงจริงๆ โกก็อนุมาณเอาว่าก็คงจะเรียกว่า “ด่า” ได้แหละนะ เพราะไอ้เรื่องแบบนี้ จะมาพูดกันแบบจ๊ะๆ จ๋าๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันมิใช่ความผิดร้ายแรงอะไร ไม่ได้มีการลงไม้ลงมือ จิกหัวมาตบหรืออะไรแบบนั้น ก็เลยตักเตือนเอาไว้เป็นงานเป็นการ เพราะเราเป็นพนักงานด้วยกัน แถมยังอยู่แผนกเดียวกัน มาทะเลาะกันแบบนี้มันจะทำงานอยู่ด้วยกันยังไง บรา บรา บรา .. ขอให้เลิกแล้วกันไป อย่าประพฤติเยี่ยงนี้อีก สองฝ่ายก็ตอบรับแล้วจากไปด้วยดี
เรื่องน่าจะจบง่ายๆแบบนี้ แต่เปล่า เพราะโกจะทำเอกสารเป็นหลักฐานว่าได้ตักเตือนฝ่ายชายแล้วนะ แต่คุณหัวหน้าแผนกไม่ยอมเซ็นเอกสารให้ บอกว่าไอ้คนด่านี่นะ โดนออกใบเตือนมาแล้วสองครั้ง (เรื่องทำงานบกพร่อง)จึงขอให้การเตือนครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม โกก็บอกว่าไม่ได้นะจ๊ะ มันคนละเรื่องกันกับสองครั้งที่แล้ว เอามารวมกันบ่ได้ดอก ชีก็ไม่ยอมท่าเดียว “ถ้างั้นก็ไม่เซ็น” แล้วชีก็สะบัดตูดพรึ่บออกไปจากห้องทำงานโก ทิ้งให้โกยืนงงเป็นไก่หงอยอยู่คนเดียว. 5555
หัวหน้าแผนกน่ะ บางทีเค้าก็ไม่ฟังเราหรอกนะครับ เนื่องจากเขาหวังว่าเราจะช่วยลูกน้องเขาให้พ้นผิดได้ กรณีนี้ไม่รู้จะช่วยยังไง คนชกน่ะถึงจะขยันยังไงหรือจะดียังไง แต่กรณีนี้ช่วยยาก ก็อย่างที่บอกว่าอบรมบ่ายสามสองทุ่มชก แล้วก็เป็นฐานความผิดที่ต้องปลดออกจากงานสถานเดียว
ก็เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เผื่อใครจะมีความเห็นเป็นอื่น.
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
เก่าเก็บ
คำว่า “เก่าเก็บ” นี่ มันตีความหมายไปได้หลายอย่างนะครับ
โกก็ตั้งชื่อเรื่องให้มันกำกวมไปยังงั้นเอง ไม่ได้อยากจะพูดพูดเรื่องเมียเก่า เมียเก็บ
หรือของเก่า ของโบราณหรอกนะครับ แต่โกกำลังจะพูดเรื่องคน
ใช่แล้วครับ โกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาระดับ "อภิมหาอมตะ classic นิรันดร์กาล" ของงานฝ่ายบุคคล
มันไม่ได้เพิ่งจะเกิดกับโกหรอกนะ มันเกิดมานานแล้ว แต่โกเพิ่งนึกจะเขียนถึงมัน
ปัญหาเรื่องพนักงานเก่าแก่ เก่าเก็บ ระดับเก๋า แล้วแต่จะเรียก ยังไงก็ได้
แต่ที่โกว่ามาทั้งหมดนั่น โกเน้นกันที่อายุงานอย่างเดียว อายุสมองและความสามารถไม่เกี่ยวนะครับ
ที่ทำงานปัจจุบันของโก ก่อร่างสร้างมานานประมาณ 10 กว่าปีแล้ว "เพราะฉะนั้น ฉันจึงทรนง .." ใช่เลย แบบเพลงนี้เลยครับ
พนักงานหลายๆๆ คน เติบโตมาพร้อมกับที่ทำงาน และยังคงปฏิบัติงานอยู่
พนักงานหลายคนเติบโตขึ้นไปตามความรู้ ความสามารถ ตามโอกาส ของแต่ละคน
ทำไมต้องเอาคำว่าโอกาสมาประกอบด้วย ก็มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่ครับ
คงจะเคยได้ยินกันนะครับ ที่ว่า "เก่ง หรือจะสู้เฮง" ใครจะเถียงโกว่าไม่จริง สมัยนี้ไม่มีแล้ว
เชิญเลยครับ
ยอมรับกันเถอะครับว่า เด็กเส้นใหญ่ ญาติคนนั้น พี่น้องคนนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่
ปวดหัวมากกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ตัดออกไปจากชีวิตการทำงานไม่ได้ และไม่หมดซักที
ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะมีพนักงานจำนวนหนึ่งที่อายุงาน นานมากพอๆกันกับอายุบริษัทฯ
แต่พวกยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่ได้เติบโตไปไหนเลย ตำแหน่งที่มาเริ่มงานวันแรกเมื่อสิบปีที่แล้วกับวันนี้
ยังเป็นตำแหน่งเดียวกันอยู่ ทำไมหนอ ทำไม ทำไม และ จะทำยังไง
ถ้าเป็นที่อื่นๆ พนักงานคงจะหาที่ทำงานใหม่ ย้ายไปย้ายมาเป็นตั๊กแตนปาทังก้า
ย้ายไปเอาตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้นแต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือย้ายไปเอาเงินเดือนมากกว่าในตำแหน่งเดิม
มันพอจะเลือกกันได้ครับ
แต่ที่ทำงานของโกมันมีข้อแม้ ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่า เราอยู่ของเราคนเดียวโด่เด่
ไม่มีสถานประกอบการอื่นๆ แบบเดียวกันหรือเท่าเทียมกัน ในเมืองนี้เลย
แล้วจะให้พนักงานย้ายไปเอาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไหนได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจ
มันก็ต้องอยู่ทน ทนอยู่ ให้ตายกันไปข้างล่ะสิครับ
พนักงานบางคนที่พอจะเข้าใจสัจจะธรรมของชีวิต คิดไปแล้วก็เท่านั้น พวกนี้ก็จะสงบปากสงบคำ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
แต่บางคนไม่ใช่ยังงั้น พวกนี้จะเรียกร้องทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกที่ ทุกเวลา
ทำไมตำแหน่งผมไม่ขยับ ทำไมเงินเดือนขึ้นน้อย ผมทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว เรื่องงานผมก็รู้หมด
จริงเหรอ?
ฝ่ายบุคคลอย่างโก เบื่อพวกเอ็งโคดๆ ขอบอก..
ทำไมท่านไม่ไปยืนมองหน้าตัวเองในกระจกเงา แล้วถามไอ้คนที่เห็นนั่นว่า เอ็งทำอะไรเป็นบ้าง
เอ็งมีดีอะไรบ้าง นอกจากแก่พรรษา ที่หัวหน้าแผนกเค้าถึงจะต้องส่งเสริมให้เอ็งเติบโตขึ้น
เปลี่ยนผู้จัดการไป 2-3 คนแล้ว เอ็งก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะปรับปรุงความคิดของตัวเองบ้างเลยเหรอ
ไม่กี่วันก่อน โกก็จัดอบรมให้กับหัวหน้างานระดับล่าง ก็มีคุณพิเศษพวกนี้มารับการอบรมด้วยหลายคน
ปัญหาในการทำงานที่ถูกหยิบยกมาพูดก็เรื่องเก่าๆ เดิมๆ ที่พวกนี้พูดมาตลอด "เงินเดือนน้อย ตำแหน่งต่ำ ทำงานไม่ได้"
อ้อๆ มีปัญหาใหม่ด้วย "ทำไมผลการประเมินของผมบางรายการ คะแนนต่ำกว่าพนักงานอีก?"
ช่างกล้าเอามาถาม ทำไมไม่กลับไปถามคนประเมินก่อนฟะ จะได้คำตอบที่ชัดเจน
เพราะผู้จัดการคุณเป็นคนประเมิน เค้าต้องตอบคุณได้
เรื่องแบบนี้ พูดไปแล้วมันก็เกี่ยวโยงไปถึงหลายเรื่อง รายละเอียดอีกเพียบ
อย่างเวลาหัวหน้างานลาออก จะเอาคนในขึ้น หรือจะเอาคนนอกมาเสียบ ปัญหาทั้งนั้น
พูดไปบ่นไปก็เท่านั้น ก็ประสาคนแก่ไงครับ
อิอิ.
เขียนไปเขียนมา ทำท่าเหมือนไม่รู้จะไปจบลงตรงไหน กับปัญหาแบบนี้
คนจีนคนไหนหว่าที่บอกว่า แมวขาวหรือแมวดำ ถ้ามันจับหนูได้ก็ใช้ได้เหมือนกัน
แต่กับคน มันคงไม่ง่ายยังงั้นนะปู่นะ ปู่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า
คนโง่ แล้วขยัน ให้เอาไปฆ่าทิ้งทำปุ๋ยในนา
คนโง่ แล้วขี้เกียจ เอามันไปเป็นกรรมกรทำนา
คนฉลาด แต่ขี้เกียจ เอาไปทำปุ๋ยเหมือนกัน
คนฉลาด แล้วขยัน เอาไปทำพ่อพันธุ์
ใช่ป่าวก็ไม่รู้ แต่บรรทัดสุดท้ายน่ะ ไม่ใช่แน่ๆ 55555.
โกก็ตั้งชื่อเรื่องให้มันกำกวมไปยังงั้นเอง ไม่ได้อยากจะพูดพูดเรื่องเมียเก่า เมียเก็บ
หรือของเก่า ของโบราณหรอกนะครับ แต่โกกำลังจะพูดเรื่องคน
ใช่แล้วครับ โกกำลังเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาระดับ "อภิมหาอมตะ classic นิรันดร์กาล" ของงานฝ่ายบุคคล
มันไม่ได้เพิ่งจะเกิดกับโกหรอกนะ มันเกิดมานานแล้ว แต่โกเพิ่งนึกจะเขียนถึงมัน
ปัญหาเรื่องพนักงานเก่าแก่ เก่าเก็บ ระดับเก๋า แล้วแต่จะเรียก ยังไงก็ได้
แต่ที่โกว่ามาทั้งหมดนั่น โกเน้นกันที่อายุงานอย่างเดียว อายุสมองและความสามารถไม่เกี่ยวนะครับ
ที่ทำงานปัจจุบันของโก ก่อร่างสร้างมานานประมาณ 10 กว่าปีแล้ว "เพราะฉะนั้น ฉันจึงทรนง .." ใช่เลย แบบเพลงนี้เลยครับ
พนักงานหลายๆๆ คน เติบโตมาพร้อมกับที่ทำงาน และยังคงปฏิบัติงานอยู่
พนักงานหลายคนเติบโตขึ้นไปตามความรู้ ความสามารถ ตามโอกาส ของแต่ละคน
ทำไมต้องเอาคำว่าโอกาสมาประกอบด้วย ก็มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี่ครับ
คงจะเคยได้ยินกันนะครับ ที่ว่า "เก่ง หรือจะสู้เฮง" ใครจะเถียงโกว่าไม่จริง สมัยนี้ไม่มีแล้ว
เชิญเลยครับ
ยอมรับกันเถอะครับว่า เด็กเส้นใหญ่ ญาติคนนั้น พี่น้องคนนี้ ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่
ปวดหัวมากกับเรื่องแบบนี้ แต่ก็ตัดออกไปจากชีวิตการทำงานไม่ได้ และไม่หมดซักที
ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะมีพนักงานจำนวนหนึ่งที่อายุงาน นานมากพอๆกันกับอายุบริษัทฯ
แต่พวกยังย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่ได้เติบโตไปไหนเลย ตำแหน่งที่มาเริ่มงานวันแรกเมื่อสิบปีที่แล้วกับวันนี้
ยังเป็นตำแหน่งเดียวกันอยู่ ทำไมหนอ ทำไม ทำไม และ จะทำยังไง
ถ้าเป็นที่อื่นๆ พนักงานคงจะหาที่ทำงานใหม่ ย้ายไปย้ายมาเป็นตั๊กแตนปาทังก้า
ย้ายไปเอาตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้นแต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือย้ายไปเอาเงินเดือนมากกว่าในตำแหน่งเดิม
มันพอจะเลือกกันได้ครับ
แต่ที่ทำงานของโกมันมีข้อแม้ ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่า เราอยู่ของเราคนเดียวโด่เด่
ไม่มีสถานประกอบการอื่นๆ แบบเดียวกันหรือเท่าเทียมกัน ในเมืองนี้เลย
แล้วจะให้พนักงานย้ายไปเอาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไหนได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเห็นใจ
มันก็ต้องอยู่ทน ทนอยู่ ให้ตายกันไปข้างล่ะสิครับ
พนักงานบางคนที่พอจะเข้าใจสัจจะธรรมของชีวิต คิดไปแล้วก็เท่านั้น พวกนี้ก็จะสงบปากสงบคำ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
แต่บางคนไม่ใช่ยังงั้น พวกนี้จะเรียกร้องทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกที่ ทุกเวลา
ทำไมตำแหน่งผมไม่ขยับ ทำไมเงินเดือนขึ้นน้อย ผมทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว เรื่องงานผมก็รู้หมด
จริงเหรอ?
ฝ่ายบุคคลอย่างโก เบื่อพวกเอ็งโคดๆ ขอบอก..
ทำไมท่านไม่ไปยืนมองหน้าตัวเองในกระจกเงา แล้วถามไอ้คนที่เห็นนั่นว่า เอ็งทำอะไรเป็นบ้าง
เอ็งมีดีอะไรบ้าง นอกจากแก่พรรษา ที่หัวหน้าแผนกเค้าถึงจะต้องส่งเสริมให้เอ็งเติบโตขึ้น
เปลี่ยนผู้จัดการไป 2-3 คนแล้ว เอ็งก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะปรับปรุงความคิดของตัวเองบ้างเลยเหรอ
ไม่กี่วันก่อน โกก็จัดอบรมให้กับหัวหน้างานระดับล่าง ก็มีคุณพิเศษพวกนี้มารับการอบรมด้วยหลายคน
ปัญหาในการทำงานที่ถูกหยิบยกมาพูดก็เรื่องเก่าๆ เดิมๆ ที่พวกนี้พูดมาตลอด "เงินเดือนน้อย ตำแหน่งต่ำ ทำงานไม่ได้"
อ้อๆ มีปัญหาใหม่ด้วย "ทำไมผลการประเมินของผมบางรายการ คะแนนต่ำกว่าพนักงานอีก?"
ช่างกล้าเอามาถาม ทำไมไม่กลับไปถามคนประเมินก่อนฟะ จะได้คำตอบที่ชัดเจน
เพราะผู้จัดการคุณเป็นคนประเมิน เค้าต้องตอบคุณได้
เรื่องแบบนี้ พูดไปแล้วมันก็เกี่ยวโยงไปถึงหลายเรื่อง รายละเอียดอีกเพียบ
อย่างเวลาหัวหน้างานลาออก จะเอาคนในขึ้น หรือจะเอาคนนอกมาเสียบ ปัญหาทั้งนั้น
พูดไปบ่นไปก็เท่านั้น ก็ประสาคนแก่ไงครับ
อิอิ.
เขียนไปเขียนมา ทำท่าเหมือนไม่รู้จะไปจบลงตรงไหน กับปัญหาแบบนี้
คนจีนคนไหนหว่าที่บอกว่า แมวขาวหรือแมวดำ ถ้ามันจับหนูได้ก็ใช้ได้เหมือนกัน
แต่กับคน มันคงไม่ง่ายยังงั้นนะปู่นะ ปู่บอกเองไม่ใช่เหรอว่า
คนโง่ แล้วขยัน ให้เอาไปฆ่าทิ้งทำปุ๋ยในนา
คนโง่ แล้วขี้เกียจ เอามันไปเป็นกรรมกรทำนา
คนฉลาด แต่ขี้เกียจ เอาไปทำปุ๋ยเหมือนกัน
คนฉลาด แล้วขยัน เอาไปทำพ่อพันธุ์
ใช่ป่าวก็ไม่รู้ แต่บรรทัดสุดท้ายน่ะ ไม่ใช่แน่ๆ 55555.
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554
สองมาตรฐาน
โกไม่รู้เหมือนกันว่า ตัวเองไม่มีเรื่องจะเขียน หรือว่าไม่มีเวลาจะเขียน
เลยไม่ได้เขียนอะไรนานแล้วนะครับ แต่จริงๆ คงจะไม่ใช่เรื่องที่ว่าไม่มีเวลา
เพราะทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน มันเป็นข้อแก้ตัวง่ายๆ มากกว่า
ยกเว้น คนที่กำลัง in love หรือ รออะไรบางอย่าง เวลาอาจจะนานหน่อย 5555
คิดถึงคนอ่านเหมือนกันนะเนี่ยะ
วันนี้อารม์ผีออก เลยตื่นแต่เช้าแล้วก็มานั่งเขียนเรื่อง "สองมาตรฐาน"
โกน่ะ ถึงขนาดเคยโดนเด็กต่อว่ากลางที่ประชุมมาแล้วนะ แต่ไม่อายหรอก สีทนได้
คนที่เป็นหัวหน้างาน หรือที่เป็นฝ่ายบุคคลเหมือนกับโก
ท่านเคยถามตัวเองบางมั้ยครับว่า ตัวเองเป็นคนสองมาตรฐานหรือเปล่า
หรือเคยโดนใครด่าบ้างมั้ยว่า "เป็นคนสองมาตรฐาน"
อย่าไปพูดถึงนักการเมืองเลยนะ พวกนั้นเป็นคนไม่มีมาตรฐานมากกว่า
จะว่าไปแล้ว กับของบางอย่าง กับเรื่องบางเรื่อง เลข 2 นี่อาจจะเป็นเลขไม่ดีนะครับ
อ้อ.. ต้องเพิ่มว่า สำหรับคนบางเข้าไปด้วย อย่าลืม
ยกตัวอย่างเช่น "จับปลาสองมือ" โบราณท่านห้ามเอาไว้ "หมาสองราง" นี่ก็ไม่ดี "ลิ้นสองแฉก" ก็ไม่ดี
"เมียสองต้องห้ามตามตำรา" ไม่ดีเหมือนกัน เอ๊ะ... หรือว่าดี ไม่รู้นะ เรื่องนี้ตัวใครตัวมันดีกว่า
โกค่อนข้างจะเห็นด้วยนะครับว่า เลข 2 มันไม่ค่อยดี
แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอไปนะ โกมีเพื่อนที่ดีคนนึงชื่อเล่นชื่อสอง เค้าก็ออกจะดีนะ
แล้วโกก็เลยไม่เป็นคนสองมาตรฐาน แต่ปาเข้าไปสาม สี่ ห้า โน่นแหละ
อ้าว... ไหงงั้นล่ะ
โกมีความรู้สึกว่า การตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ มันขึ้นอยู่กับรายละเอียดเยอะแยะ
โดยเฉพาะการตัดสินคดีความ
การกระทำผิดในฐานเดียวกัน โดยบุคคลสองคน อาจจะมาจากเหตุผลที่แตกต่างกัน
บนเหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ที่แตกต่างกัน.
โกเคยตัดสินลงโทษพนักงานสองคนที่ทำผิดเหมือนๆกัน แต่โดนลงโทษแตกต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่า พนักงานคนหนึ่งนั้นเป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่เคยมีประวัติเสีย
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นพนักงานในระดับที่คุณอยากเอาออกซะวันนี้เลย
ด้วยเหตุผลแบบนี้ ประกอบกับเมื่อสอบสวนแล้ว พบว่าความผิดเกิดจากการตั้งใจกระทำ
กับความจำเป็นที่จะต้องกระทำ ก็เลยลงโทษหนักเบาแตกต่างกันไป
แน่นอนอยู่แล้วว่า พนักงานที่โดนลงโทษหนักกว่าย่อมมีความรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง
แล้วยังไง เค้าเข้ามาถามเลยครับว่า ทำไมโกตัดสินแบบนี้
โกก็เลยตอบเค้าไปว่า "เพราะคุณไม่ได้เป็นพนักงานที่ประพฤติตัวดีแบบคนนั้น
คุณเป็นคนที่บริษัทฯ อยากให้ออกจากงานมากๆ
วันนี้ความผิดของคุณยังไม่ถึงขั้นไล่ออก แต่ถ้าใช่ ผมจะไม่ลังเลที่จะเอาคุณออก"
โหยยยย... มันไม่ได้รู้สำนึกหรอกครับ มันร้องเรียนไปเรื่อย
จนเรื่องถึงนายใหญ่ เค้าเลยเรียกโกไปสอบถาม โกก็ตอบแบบเดิม
พอรู้ว่าอีกคนที่โดนลงโทษเป็นใคร นายก็ไม่ว่าอะไร พูดแค่ว่า "เคลียร์ให้ดีๆ ก็แล้วกัน"
เคลียร์อะไรล่ะครับนาย เรื่องแบบนี้
อย่างมาก ก็ใส่หมวกกันน๊อคมาทำงานทุกวันเท่านั้นเอง อิอิ
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี่ เกิดขึ้นนานประมาณ 15 ปีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นเป็นฝ่ายบุคคลใหม่ๆ
ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังโดนด่าเรื่องสองมาตรฐานอยู่เหมือนเดิม
แสดงว่าสันดานเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ (ฮา)
เลยไม่ได้เขียนอะไรนานแล้วนะครับ แต่จริงๆ คงจะไม่ใช่เรื่องที่ว่าไม่มีเวลา
เพราะทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน มันเป็นข้อแก้ตัวง่ายๆ มากกว่า
ยกเว้น คนที่กำลัง in love หรือ รออะไรบางอย่าง เวลาอาจจะนานหน่อย 5555
คิดถึงคนอ่านเหมือนกันนะเนี่ยะ
วันนี้อารม์ผีออก เลยตื่นแต่เช้าแล้วก็มานั่งเขียนเรื่อง "สองมาตรฐาน"
โกน่ะ ถึงขนาดเคยโดนเด็กต่อว่ากลางที่ประชุมมาแล้วนะ แต่ไม่อายหรอก สีทนได้
คนที่เป็นหัวหน้างาน หรือที่เป็นฝ่ายบุคคลเหมือนกับโก
ท่านเคยถามตัวเองบางมั้ยครับว่า ตัวเองเป็นคนสองมาตรฐานหรือเปล่า
หรือเคยโดนใครด่าบ้างมั้ยว่า "เป็นคนสองมาตรฐาน"
อย่าไปพูดถึงนักการเมืองเลยนะ พวกนั้นเป็นคนไม่มีมาตรฐานมากกว่า
จะว่าไปแล้ว กับของบางอย่าง กับเรื่องบางเรื่อง เลข 2 นี่อาจจะเป็นเลขไม่ดีนะครับ
อ้อ.. ต้องเพิ่มว่า สำหรับคนบางเข้าไปด้วย อย่าลืม
ยกตัวอย่างเช่น "จับปลาสองมือ" โบราณท่านห้ามเอาไว้ "หมาสองราง" นี่ก็ไม่ดี "ลิ้นสองแฉก" ก็ไม่ดี
"เมียสองต้องห้ามตามตำรา" ไม่ดีเหมือนกัน เอ๊ะ... หรือว่าดี ไม่รู้นะ เรื่องนี้ตัวใครตัวมันดีกว่า
โกค่อนข้างจะเห็นด้วยนะครับว่า เลข 2 มันไม่ค่อยดี
แต่ก็ใช่ว่าจะเสมอไปนะ โกมีเพื่อนที่ดีคนนึงชื่อเล่นชื่อสอง เค้าก็ออกจะดีนะ
แล้วโกก็เลยไม่เป็นคนสองมาตรฐาน แต่ปาเข้าไปสาม สี่ ห้า โน่นแหละ
อ้าว... ไหงงั้นล่ะ
โกมีความรู้สึกว่า การตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ มันขึ้นอยู่กับรายละเอียดเยอะแยะ
โดยเฉพาะการตัดสินคดีความ
การกระทำผิดในฐานเดียวกัน โดยบุคคลสองคน อาจจะมาจากเหตุผลที่แตกต่างกัน
บนเหตุการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ที่แตกต่างกัน.
โกเคยตัดสินลงโทษพนักงานสองคนที่ทำผิดเหมือนๆกัน แต่โดนลงโทษแตกต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่า พนักงานคนหนึ่งนั้นเป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่เคยมีประวัติเสีย
ส่วนอีกคนหนึ่ง เป็นพนักงานในระดับที่คุณอยากเอาออกซะวันนี้เลย
ด้วยเหตุผลแบบนี้ ประกอบกับเมื่อสอบสวนแล้ว พบว่าความผิดเกิดจากการตั้งใจกระทำ
กับความจำเป็นที่จะต้องกระทำ ก็เลยลงโทษหนักเบาแตกต่างกันไป
แน่นอนอยู่แล้วว่า พนักงานที่โดนลงโทษหนักกว่าย่อมมีความรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง
แล้วยังไง เค้าเข้ามาถามเลยครับว่า ทำไมโกตัดสินแบบนี้
โกก็เลยตอบเค้าไปว่า "เพราะคุณไม่ได้เป็นพนักงานที่ประพฤติตัวดีแบบคนนั้น
คุณเป็นคนที่บริษัทฯ อยากให้ออกจากงานมากๆ
วันนี้ความผิดของคุณยังไม่ถึงขั้นไล่ออก แต่ถ้าใช่ ผมจะไม่ลังเลที่จะเอาคุณออก"
โหยยยย... มันไม่ได้รู้สำนึกหรอกครับ มันร้องเรียนไปเรื่อย
จนเรื่องถึงนายใหญ่ เค้าเลยเรียกโกไปสอบถาม โกก็ตอบแบบเดิม
พอรู้ว่าอีกคนที่โดนลงโทษเป็นใคร นายก็ไม่ว่าอะไร พูดแค่ว่า "เคลียร์ให้ดีๆ ก็แล้วกัน"
เคลียร์อะไรล่ะครับนาย เรื่องแบบนี้
อย่างมาก ก็ใส่หมวกกันน๊อคมาทำงานทุกวันเท่านั้นเอง อิอิ
เรื่องที่เล่าให้ฟังนี่ เกิดขึ้นนานประมาณ 15 ปีแล้วล่ะครับ ตอนนั้นเป็นฝ่ายบุคคลใหม่ๆ
ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ก็ยังโดนด่าเรื่องสองมาตรฐานอยู่เหมือนเดิม
แสดงว่าสันดานเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ (ฮา)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)