หน้าเว็บ

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

โรคมือเท้าปาก VS งานโรงแรม




เป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดข่าวลือเรื่องโรคลึกลับระบาดในกัมพูชา ทำให้มีเด็กๆเสียชีวิตหลายคน ซึงต่อมาก็ได้ทราบว่าไม่ใช่โรคลึกลับมหัศจรรย์อะไรหรอก โรคมือเท้าปากนี่แหละ

เมื่อความปรากฏชัด โกก็เลยเรียกลูกน้องในปกครองมาพบเพื่อสั่งการ ถามไปว่าทุกคนทราบเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาดใช่มั้ย ก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกันว่าทราบ แล้วก็นิ่งไม่ว่าอะไรต่อ ก็คงจะงงๆ ว่าวันนี้เจ้านายกรูจะมาเรื่องอะไรอีก

เอาละวะ น้องๆเค้าคงเดาใจโกไม่ถูก โกเลยบอกไปว่า ฝ่ายบุคคลควรจะทำการประชาสัมพันธ์ออกไปนะจ๊ะ ทำประกาศเอาไปติดที่บอร์ดเพื่อเตือนให้บรรดาพนักงานทั้งหลายได้ทราบถึงรายละเอียดของโรคนี้ อาการมันจะเริ่มยังไง แล้วต่อมาแสดงผลยังไง มันจะติดต่อถึงกันยังไง ทาง e-mail หรือว่าทาง skype แล้วจะป้องกันในเบื้องต้นยังไง แค่นี้เอง ส่วนพนักงานที่ทราบรายละเอียดแล้ว เค้าจะไปทำยังไงต่อไปก็เรื่องของเขาแล้วล่ะ เข้าใจมั้ยครับ

น้องๆก็ทำหน้างง แย้งกลับมาว่าพี่ครับ โรคนี้มันติดต่อเฉพาะเด็กๆไม่ใช่เหรอครับ

อ่ะจริงดิ มันไม่ติดถึงผู้ใหญ่เหรอ น้องๆเริ่มยิ้ม สงสัยกำลังคิดในใจว่า เอาแล้ว หัวหน้ากรูพลาดแล้วงานนี้

โอเค.. มันไม่ติดต่อถึงผู้ใหญ่ แต่น้องๆลืมไปรึเปล่าครับว่า บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ทำงานอยู่ในโรงแรมน่ะ เกือบครึ่ง หรือกว่าครึ่งที่มีครอบครัว มีลูกแล้ว ลูกเล็กๆ ก็เยอะ เพิ่งคลอดก็แยะ รวมทั้งเจ้าด้วย โกหมายถึงลูกน้องคนนึงที่เพิ่งคลอดลูกมาได้ 3 เดือนฝ่าๆ

รอยยิ้มเริ่มจางลง .. ได้ทีขี่แพะไล่ฉันใดก็ฉันเพล โกเลยวิสัชนาต่อว่า พนักงานคนที่เป็นพ่อแม่ ถ้าลูกป่วย เค้าก็ไม่มีกะจิตกะใจมาทำงานจริงป่าวครับ ไหนจะห่วงลูก ไหนอาจจะต้องพาลูกไป รพ. ยิ่งโรคแบบนี้ด้วย มันสามารถทำให้เสียชีวิตได้ เราก็รู้อยู่แล้วว่า รพ.ในบ้านนี้อาจจะรับมือยังไม่ไหว ... บลา บลา บลา  โอยยย โกพูดเยอะถึงขนาดเหนื่อย แต่ไม่เล่าให้ฟังก็ได้ กลัวขี้เกียจอ่าน อิอิ..
แต่เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวหมอมาทำงาน เรียกหมอมาพบพี่ดีกว่า ให้หมอเป็นคนดำเนินการเรื่องนี้นะจ๊ะ

คือเรื่องแบบนี้ ฝ่ายบุคคลบางท่านอาจจะมองว่ามันเป็นธุระไม่ใช่ แต่โกว่าใช่นะครับ ถือว่ามองต่างมุมก็แล้วกัน เพราะหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับครอบครัวของพนักงาน มันย่อมส่งผลกระทบมาถึงเรื่องงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากน้อยต่างกัน สุดท้ายแล้วคนที่เสียประโยชน์ที่สุดก็คือนายจ้าง แต่กรณีนี้ โกก็ไม่ได้มองแค่ว่ามันเป็นเรื่องของผลประโยขน์ แต่มันควรจะเป็นเรื่องของแรงงานสัมพันธ์ เป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยที่นายจ้างหรือบริษัทฯ พึงมีต่อลูกจ้าง ส่วนลูกจ้างจะรับรู้ถึงความห่วงใยนี้ได้หรือไม่ ก็สุดแต่ความหนาบางของแต่ละคน ก็แค่นั้นเองครับ

แล้วถัดมาคุณหมอก็เข้ามาพบ โกก็ชี้แจงถึงความต้องการให้คุณหมอฟัง หมอก็ทำท่าเหมือนลูกน้องตอนแรกๆ นั่นแหละครับ แต่เมื่ออธิบายเพิ่มเติมคุณหมอก็เข้าใจ บอกว่าเดี๋ยวจัดการให้ จะไปเอาโปสเตอร์กับข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาจากทางกระทรวง

เรื่องนี้ มันก็น่าจะจบลงง่ายๆ อย่างนี้ไม่มีดราม่า หรือมาม่าอะไรมาเพิ่มเติม แต่ .. แต่ช้าแต่ ..

2 วันถัดมา คุณหมอกลับมารายงานว่า ได้ไปปรึกษาเรื่องนี้กับทางกระทรวงถึงความต้องการของทางฝ่ายบุคคลเราว่าจะประกาศให้พนักงานได้ทราบถึงเรื่องโรคระบาดนี้ ทางกระทรวงแจ้งว่าไม่สามารถทำได้ เพราะไม่อยากให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจ

โกก็ เอ๋อ..eat เลยอ่ะดิ ทำไมล่ะครับหมอ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าจะมาปกปิด ไม่ใช่เรื่องลับอะไรนี่หว่า เด็กตายออกโครมๆ 40-50 คน กระทรวงจะมาปกปิดอะไร เขาตกใจกันไปก่อนหน้านี้แล้วล่ะ แต่ถ้าเราบอกให้เขารู้ เขาจะได้เลิกตกใจไง

หมอก็อธิบายมายาวเหยียด โกก็ฟังเข้าหูซ้ายออกหูขวาไปยังงั้น
สรุปก็คือว่า จะไม่มีการดำเนินการใดๆ จบ.

อ่ะนะ ก่อนจบเรื่องนี้ โกขอนิดนึง
..กรูไม่เข้าใจเว้ย.. มรึงคิดอะไรกันอยู่ว้า